การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2551
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3008 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 2
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ให้วินิจฉัยว่า คำสั่งของศาลที่ให้ยกฟ้องทั้งสามสำนวนชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 166 วรรคแรก ถ้าโจทก์ไม่มาตามกำหนดนัด ให้ศาลยกฟ้องเสีย แต่ถ้าศาลเห็นว่ามีเหตุสมควรจึงมาไม่ได้ จะสั่งเลื่อนคดีไปก็ได้
วินิจฉัย
คำสั่งของศาลที่ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสามชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า แม้ศาลจะมีคำสั่งให้รวมพิจารณาคดีของนายเอก นายโทและนายตรี โจทก์ทั้ง
สามสำนวนเข้าด้วยกันก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงการรวมพิจารณาคดีเข้าด้วยกันเพื่อความสะดวกในการพิจารณาพิพากษาคดีเท่านั้น ดังนั้น การที่ศาลจะใช้อำนาจตามมาตรา 166 วรรคแรก ยกฟ้องโจทก์ที่ไม่มาศาลตามกำหนดนัดได้นั้น ศาลจึงอยู่ในบังคับที่จะต้องแยกพิจารณาเป็นรายสำนวนไป (ฎ. 5461/2534)โดยหลักแล้ว การยกฟ้องเพราะเหตุที่โจทก์ไม่มาตามกำหนดนัดนั้น ต้องเป็นกรณีที่โจทก์ได้ทราบนัดโดยชอบแล้วและโจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดนัดโดยไม่มีเหตุสมควร
คดีสำนวนแรกของนายเอก เมื่อปรากฏว่านายเอกลงชื่อรับหมายนัดด้วยตนเอง หมายนัดที่ส่งให้แก่นายเอกย่อมมีผลใช้ได้ทันทีในวันที่ส่งหมายนัด คือ ในวันที่ 27 มกราคม 2552 ดังนั้น การที่นายเอกไม่มาศาลในวันนัดไต่สวนมูลฟ้องวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2552 กรณีจึงต้องถือว่านายเอกได้ทราบนัดของศาลโดยชอบแล้ว เมื่อไม่มาศาลตามกำหนดนัด คำสั่งศาลที่ให้ยกฟ้องของนายเอกโจทก์สำนวนแรกจึงชอบด้วยมาตรา 166 วรรคแรกแล้ว
คดีสำนวนที่สองของนายโท แม้จะถือว่าการที่นายโทลงชื่อรับหมายนัดด้วยตนเองเป็นการทราบนัดของศาลโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วเช่นเดียวกันกับนายเอกก็ตาม แต่คำว่า “โจทก์” ตามมาตรา 166 หมายความรวมถึงทั้งทนายโจทก์ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์และผู้รับมอบฉันทะจากโจทก์ให้มาเลื่อนคดีด้วย ดังนั้น แม้ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้องนายโทซึ่งทราบนัดของศาลโดยชอบแล้ว จะไม่มาศาลตามกำหนดนัดก็ตาม แต่เมื่อทนายความของนายโท โจทก์สำนวนที่ 2 ได้มองฉันทะให้เสมือนทนายความมายื่นคำร้องขอเลื่อนคดี กรณีจึงต้องถือว่าสำนวนคดีที่ 2 ของนายโทนั้นมีโจทก์มาศาลตามกำหนดนัดแล้ว การที่ศาลมีคำสั่งยกฟ้องของนายโท โจทก์สำนวนที่ 2 จึงเป็นการไม่ชอบด้วยมาตรา 166 วรรคแรก (ฎ. 1739/2528)
คดีสำนวนที่สามของนายตรี กรณีที่ศาลจะยกฟ้องเพราะโจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดนัด ตามมาตรา 166 วรรคแรกได้นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ศาลได้กำหนดนัดไต่สวนมูลฟ้องไว้และโจทก์ทราบกำหนดของศาลโดยชอบแล้วไม่มาศาล ศาลจึงจะพิพากษายกฟ้องเสียได้ เมื่อปรากฏว่าหมายนัดที่เจ้าหน้าที่ส่งให้แก่นายตรีโดยวิธีปิดหมาย เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2552 จะมีผลใช้ได้ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ (15 วัน) กรณีจึงถือว่าโจทก์สำนวนที่ 3 ยังไม่ทราบกำหนดนัดของศาลโดยชอบ จึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 166 วรรคแรก ที่ศาลจะยกฟ้องนายตรี โจทก์สำนวนที่ 3 เสียได้ คำสั่งยกฟ้องโจทก์สำนวนที่ 3 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย (ฎ. 947/2533 และ ฎ. 2178/2536)
สรุป คำสั่งของศาลที่ให้ยกฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายเฉพาะคดีสำนวนที่หนึ่งของนายเอกเท่านั้น ส่วนคำสั่งยกฟ้องคดีที่สองของนายโทและคดีที่สามของนายตรีไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 2 นายโชติเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษนายเหี้ยมในข้อหาพยายามฆ่านายโชติตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 , 80 ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้องนายโชติไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง อีก 2 เดือน ต่อมา พนักงานอัยการฟ้องนายเหี้ยมในข้อหาพยายามฆ่านายโชติ ผู้เสียหายดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นอีก นายเหี้ยมให้การปฏิเสธและต่อสู้ว่า พนักงานอัยการโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องนายเหี้ยมในเรื่องเดียวกันนี้ที่นายโชติเป็นโจทก์ฟ้องศาลชั้นต้นสืบพยานของพนักงานอัยการโจทก์จนเสร็จแล้วนัดสืบพยานของนายเหี้ยมจำเลยครั้นถึงวันนัดสืบพยานจำเลย นายเหี้ยมและทนายความมาศาล ส่วนพนักงานอัยการโจทก์ไม่มาโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ไม่มาตามกำหนดนัด จึงพิพากษายกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 181 ประกอบมาตรา 166
ให้วินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้คดีของนายเหี้ยมที่ว่าพนักงานอัยการโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะศาลชั้นต้นเคยพิพากษายกฟ้องนายเหี้ยมในเรื่องเดียวกันนี้ที่นายโชติเป็นโจทก์ฟ้องนั้นฟังขึ้นหรือไม่ และคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องเพราะพนักงานอัยการโจทก์ไม่มาศาลชอบหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 166 วรรคแรกและวรรคสาม ถ้าโจทก์ไม่มาตามกำหนดนัด ให้ศาลยกฟ้องเสีย แต่ถ้าศาลเห็นว่ามีเหตุสมควรจึงมาไม่ได้ จะสั่งเลื่อนคดีไปก็ได้
ในคดีที่ศาลยกฟ้องดังกล่าวแล้ว จะฟ้องจำเลยในเรื่องเดียวกันนั้นอีกไม่ได้ แต่ถ้าศาลยกฟ้องเช่นนี้ในคดีซึ่งราษฎรเท่านั้นเป็นโจทก์ ไม่ตัดอำนาจพนักงานอัยการฟ้องคดีนั้นอีก เว้นแต่จะเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว
มาตรา 181 ให้นำบทบัญญัติในมาตรา 139 และ 166 มาบังคับแก่การพิจารณาโดยอนุโลม
วินิจฉัย
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า ข้อต่อสู้คดีของนายเหี้ยมฟังขึ้นหรือไม่ เห็นว่า คดีที่นายโชติเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษนายเหี้ยมในข้อหาพยายามฆ่า ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเพราะโจทก์ไม่มาศาลในวันนัดไต่สวนมูลฟ้องนั้น แม้ตามมาตรา 166 วรรคแรก บัญญัติว่า จะฟ้องจำเลยในเรื่องเดียวกันอีกไม่ได้ก็ตาม แต่บทบัญญัติดังกล่าวก็ได้บัญญัติต่อไปว่า ถ้าศาลยกฟ้องเช่นนี้ในคดีซึ่งราษฎรเท่านั้นเป็นโจทก์ ไม่ตัดอำนาจพนักงานอัยการฟ้องคดีอีก เว้นแต่จะเป็นความผิดต่อส่วนตัว เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ความผิดฐานพยายามฆ่านายโชติมิใช่เป้นคดีความผิดต่อส่วนตัว กรณีเช่นนี้พนักงานอัยการโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องนายเหี้ยมในเรื่องเดียวกันนี้อีกได้ ข้อต่อสู้ของนายเหี้ยมที่ว่าพนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้องนั้นฟังไม่ขึ้น
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องเพราะพนักงานอัยการโจทก์ไม่มาศาลชอบหรือไม่ เห็นว่า แม้คดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายเหี้ยม พนักงานอัยการโจทก์ไม่มาศาลในวันสืบพยานจำเลยก็ตาม แต่พนักงานอัยการโจทก์ก็ไม่มีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติอย่างใดต่อศาลเนื่องจากวันดังกล่าวเป็นวันสืบพยานจำเลย ซึ่งการที่พนักงานอัยการโจทก์ไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานจำเลย ก็คงเสียสิทธิในการซักค้านพยานจำเลยเท่านั้น กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 181 ประกอบมาตรา 166 ที่จะยกฟ่องเพราะเหตุดังกล่าวไม่ได้ คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องเพราะพนักงานอัยการโจทก์ไม่มาศาล จึงไม่ชอบ (ฎ. 1382/2492 ,
ฎ. 2891/2516)
สรุป ข้อต่อสู้ของนายเหี้ยมฟังไม่ขึ้น และคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 3 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีเจตนาประสงค์ต่อผลที่จะฆ่านายมด จึงใช้อาวุธปืนเล็งยิงตรงไปที่นายมด กระสุนปืนถูกนายมดได้รับอันตรายสาหัส ขอให้ลงโทษฐานพยายามฆ่านายมดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 หากทางพิจารณาได้ความแตกต่างจากฟ้องว่า แท้จริงแล้วจำเลยมีเจตนาประสงค์ต่อผลที่จะฆ่านายปลวก แต่กระสุนปืนที่จำเลยยิงไปที่นายปลวกนั้นไม่ถูกนายปลวกแต่พลาดไปถูกนายมดได้รับอันตรายสาหัส และจำเลยนำสืบปฏิเสธอ้างฐานที่อยู่ ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่านายปลวกตาม ป.อ. มาตรา 288, 80 บทหนึ่ง และฐานพยายามฆ่านายมดโดยพลาดตาม ป.อ. มาตรา 288, 80 ประกอบมาตรา 60 อีกบทหนึ่ง เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่านายมดตามฟ้องเพียงบทเดียว
ให้วินิจฉัยว่า คำพิพากษาของศาลชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 192 วรรคแรก วรรคสองและวรรคสี่ ห้ามมิให้พิพากษา หรือสั่ง เกินคำขอ หรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง
ถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดั่งที่กล่าวในฟ้องให้ศาลยกฟ้องคดีนั้น เว้นแต่ข้อแตกต่างนั้นมิใช่ในข้อสาระสำคัญและทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลจะลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นก็ได้
ถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงบางข้อดังกล่าวในฟ้อง และตามที่ปรากฏในทางพิจารณาไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ห้ามมิให้ศาลลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงนั้นๆ
วินิจฉัย
คำพิพากษาของศาลชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีเจตนาประสงค์ต่อผลที่จะฆ่านายมด แม้ทางพิจารณาจะได้ความว่าแท้จริงแล้วจำเลยมีเจตนาประสงค์ต่อผลที่จะฆ่านายปลวก หากแต่ลูกกระสุนปืนที่จำเลยยิงไปที่นายปลวกนั้นไม่ถูกนายปลวก แต่พลาดไปถูกนายมดได้รับอันตรายสาหัส ซึ่งตาม ป.อ. มาตรา 60 บัญญัติให้ถือว่าจำเลยกระทำโดยเจตนาฆ่าแก่นายมดผู้ได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้นก็ตาม กรณีเช่นนี้ ก็ถือไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณา (เจตนาโดยพลาด) แตกต่างกับฟ้อง (เจตนาประสงค์ต่อผล) ในข้อสาระสำคัญ และการที่จำเลยนำสืบปฏิเสธอ้างฐานที่อยู่ ย่อมถือได้ว่าคดีนี้จำเลยมิได้หลงต่อสู้ ดังนั้น ศาลย่อมมีอำนาจที่พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่านายมดโดยพลาด ตาม ป.อ.มาตรา 288, 80 ประกอบมาตรา 60 ตามที่พิจารณาได้ความนั้นก็ได้ ตามมาตรา 192 วรรคสอง (ฎ. 4166/2550)
ส่วนการที่ศาลปรับบทลงโทษจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่านายปลวกอีกบทหนึ่ง ตามที่พิจารณาได้ความด้วยนั้น เป็นเรื่องนอกฟ้องและนอกเหนือ คำขอบังคับของโจทก์ เพราะคดีนี้โจทก์มิได้บรรยายฟ้องเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยต่อนายปลวก และอีกทั้งโจทก์มิได้มีคำขอใดๆ ที่ขอให้ลงโทษจำเลยเกี่ยวกับการกระทำต่อนายปลวกด้วย กรณีเช่นนี้ถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณา (เจตนาประสงค์ต่อผลที่จะฆ่านายปลวก) เช่นว่านี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลย ดังนั้น การที่ศาลปรับบทลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่านายปลวกตามที่พิจารณาได้ความว่าอีกบทหนึ่งด้วย จึงเป็นคำพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยมาตรา 192 วรรคแรกและวรรคสี่
สรุป คำพิพากษาของศาลไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 4 คดีอาญาเรื่องหนึ่ง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ลงโทษปรับ 5,000 บาท ทั้งโจทก์และจำเลยต่างยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 342 ลงโทษจำคุก 1 ปี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี
ดังนี้ โจทก์ จำเลย จะฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
หมายเหตุ ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 341 ระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 342 ระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ธงคำตอบ
มาตรา 218 ในคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างหรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี หรือปรับหรือทั้งจำทั้งปรับแต่โทษจำคุกไม่เกินห้าปีห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ในคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างหรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยเกินห้าปี ไม่ว่าจะมีโทษอย่างอื่นด้วยหรือไม่ ห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
มาตรา 219 ในคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำเลยไม่เกินกำหนดที่ว่ามานี้ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ข้อห้ามนี้มิให้ใช้แก่จำเลยในกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลย
วินิจฉัย
โจทก์ จำเลยจะฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงได้หรือไม่ เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 341 ลงโทษปรับ 5,000 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 342 ลงโทษจำคุก 1 ปี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี กรณีเช่นนี้ถือว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขมาก เพราะแก้ไขทั้งบทและโทษ ทั้งยังใช้ดุลพินิจต่างกันในเรื่องรอการลงโทษด้วย กรณีจึงไม่ห้ามคู่ความฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ตามมาตรา 218 จึงต้องพิจารณาตามมาตรา 219 ต่อไป
การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต่างพิพากษาลงโทษ จำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท กรณีนี้ มาตรา 219 ห้ามโจทก์ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนจำเลยจะฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงได้เฉพาะกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขมาก และเพิ่มเติมโทษจำเลยด้วยเท่านั้น
เมื่อได้ความว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขมาก แต่การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับและอุทธรณ์ลงโทษจำคุก แต่รอการลงโทษไว้ กรณีเช่นนี้ถือว่าศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย เพราะเป็นการกำหนดโทษจำคุกโดยมีเงื่อนไขให้เป็นคุณแก่จำเลยยิ่งกว่า อีกทั้งการที่ศาลอุทธรณ์เปลี่ยนบทลงโทษจาก ป.อ. มาตรา 341 มาเป็นมาตรา 342 ก็ถือว่าเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องเท่านั้นหาทำให้เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยแต่ประการใด (ฎ. 4525/2533) ดังนั้น จำเลยจึงฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้เช่นกัน
สรุป ทั้งโจทก์และจำเลยจึงฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้