การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2549
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3007 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 2
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ
ข้อ 1 ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์ ก่อนถึงวันนัด 2 วัน โจทก์ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างว่าทนายป่วย ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งไม่อนุญาตในวันนั้นเอง โจทก์ไม่ได้โต้แย้งคำสั่งแต่ประการใด ครั้นถึงวันนัดปรากฏว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่มาศาล ศาลจึงมีคำสั่งว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายขาดนัดพิจารณาให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ดังนี้ โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี และจะอุทธรณ์ในข้อจำหน่ายคดีได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 226 ก่อนศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ถ้าศาลนั้นได้มีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 227 และ 228
(1) ห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณา
(2) ถ้าคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งคำสั่งใด ให้ศาลจดข้อโต้แย้งนั้นลงไว้ในรายงาน คู่ความที่โต้แย้งชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลได้มีคำพิพากษา หรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีนั้นเป็นต้นไป
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ไม่ว่าศาลจะได้มีคำสั่งให้รับคำฟ้องไว้แล้วหรือไม่ ให้ถือว่าคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งของศาลนับตั้งแต่มีการยื่นคำฟ้องต่อศาลนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 227 และ 228 เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
มาตรา 227 คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับหรือให้คืนคำคู่ความตามมาตรา 18 หรือคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา 24 ซึ่งทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องนั้น มิให้ถือว่าเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณาและให้อยู่ภายในข้อบังคับของการอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี
มาตรา 228 ก่อนศาลชี้ขาดตัดสินคดี ถ้าศาลมีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้คือ
(1) ให้กักขัง หรือปรับไหม หรือจำขัง ผู้ใด ตามประมวลกฎหมายนี้
(2) มีคำสั่งอันเกี่ยวด้วยคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความในระหว่างการพิจารณา หรือมีคำสั่งอันเกี่ยวด้วยคำขอเพื่อจะบังคับคดีตามคำพิพากษาต่อไป หรือ
(3) ไม่รับหรือคืนคำคู่ความตามมาตรา 18 หรือวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา 24 ซึ่งมิได้ทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง หากเสร็จไปเฉพาะแต่ประเด็นบางข้อ
คำสั่งเช่นว่านี้ คู่ความย่อมอุทธรณ์ได้ภายในกำหนดหนึ่งเดือน นับแต่วันมีคำสั่งเป็นต้นไป
แม้ถึงว่าจะมีอุทธรณ์ในระหว่างพิจารณา ให้ศาลดำเนินคดีต่อไป และมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีนั้น แต่ถ้าในระหว่างพิจารณา คู่ความอุทธรณ์คำสั่งชนิดที่ระบุไว้ในอนุมาตรา (3) ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่า การกลับหรือแก้ไขคำสั่งที่คู่ความอุทธรณ์นั้นจะเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดคดี หรือวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นข้อใดที่ศาลล่างมิได้วินิจฉัยไว้ ให้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจทำคำสั่งให้ศาลล่างงดการพิจารณาไว้ในระหว่างอุทธรณ์ หรืองดการวินิจฉัยคดีไว้จนกว่าศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์นั้น
ถ้าคู่ความมิได้อุทธรณ์คำสั่งในระหว่างพิจารณาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรานี้ ก็ให้อุทธรณ์ได้ในเมื่อศาลพิพากษาคดีแล้วตามความในมาตรา 223
วินิจฉัย
คำสั่งของศาลที่จะถือว่าเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณานั้น มีหลักเกณฑ์ดังนี้
1 จะต้องเป็นคำสั่งของศาลที่สั่งก่อนชี้ขาดตัดสินหรือจำหน่ายคดี
2 เมื่อศาลสั่งไปแล้วไม่ทำให้คดีเสร็จไปจากศาล กล่าวคือ ศาลยังต้องทำคดีนั้นต่อไป
3 ไม่ใช่คำสั่งตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 227 และมาตรา 228
เมื่อเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาแล้ว คู่ความจะอุทธรณ์คำสั่งทันทีไม่ได้ ต้องโต้แย้งคัดค้านคำสั่งไว้ก่อนจึงจะเกิดสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นตามมาตรา 226 (2) ส่วนคำสั่งของศาลนอกเหนือจากหลักเกณฑ์ 3 ประการนี้ไม่ถือว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จึงไม่อยู่ในบังคับที่ต้องโต้แย้งก่อนที่จะอุทธรณ์แต่ประการใด (อุทธรณ์ได้ทันที)
กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีได้หรือไม่ เห็นว่า การที่ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีถือเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณากล่าวคือ เมื่อศาลมีคำสั่งแล้วศาลยังต้องพิจารณาคดีนั้นอีกต่อไป (ไม่ทำให้คดีเสร็จไปจากศาล) เมื่อได้ความว่าโจทก์ไม่ได้โต้แย้งคำสั่งศาลไว้ อีกทั้งโจทก์ก็มีเวลาที่จะโต้แย้งถึง 2 วัน ซึ่งนับได้ว่าโจทก์มีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคำสั่งได้ กรณีเช่นนี้ เมื่อโจทก์ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งเช่นว่านั้นไว้ จึงหมดสิทธิอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี ตามมาตรา 226 (2) ประกอบมาตรา 226 (1) (ฎ.756/2543)
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นในข้อจำหน่ายคดีได้หรือไม่ เห็นว่า คำสั่งจำหน่ายคดีไม่ถือว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาคดี กล่าวคือ เมื่อศาลมีคำสั่งแล้วทำให้คดีเสร็จไปจากศาล กล่าวคือ ศาลไม่มีหน้าที่ต้องพิจารณาคดีนั้นอีกต่อไป กรณีเช่นนี้ โจทก์อุทธรณ์ได้ แม้โจทก์มิได้โต้แย้งคำสั่งไว้ก็ตาม เพราะคำสั่งจำหน่ายคดีไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา ทั้งไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายว่าเป็นที่สุด หรือห้ามหรือจำกัดสิทธิในการอุทธรณ์แต่ประการใด (ฎ.1365/2530)
สรุป โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีไม่ได้ แต่สามารถอุทธรณ์ในคำสั่งจำหน่ายคดีได้
ข้อ 2 โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดชำระหนี้ จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นกำหนดให้มีการชี้สองสถานระหว่างนั้น
(ก) นายสน ยื่นคำร้องเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(1)
(ข) โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลเรียกธนาคารกรุงสุโขทัย จำกัด มหาชน เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) (ก)
ทั้งสองกรณีศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า นายสนและโจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีได้หรือไม่ อย่างไร
ธงคำตอบ
มาตรา 18 วรรคท้าย คำสั่งของศาลที่ไม่รับหรือให้คืนคำคู่ความตามมาตรานี้ ให้อุทธรณ์และฎีกาได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 227 228 และ 247
มาตรา 57 บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด
(1) ด้วยความสมัครใจเองเพราะเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพ่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณาหรือเมื่อตนมีสิทธิเรียกร้อง เกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีนั้น
(3) ด้วยถูกหมายเรียกให้เข้ามาในคดี (ก) ตามคำขอของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำเป็นคำร้องแสดงเหตุว่าตนอาจฟ้องหรือถูกคู่ความเช่นว่านั้นฟ้องตนได้ เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือเพื่อใช้ค่าทดแทน ถ้าหากศาลพิจารณาให้คู่ความเช่นว่านั้นแพ้คดี
มาตรา 226 ก่อนศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ถ้าศาลนั้นได้มีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 227 และ 228
(1) ห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณา
(2) ถ้าคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งคำสั่งใด ให้ศาลจดข้อโต้แย้งนั้นลงไว้ในรายงาน คู่ความที่โต้แย้งชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลได้มีคำพิพากษา หรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีนั้นเป็นต้นไป
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ไม่ว่าศาลจะได้มีคำสั่งให้รับคำฟ้องไว้แล้วหรือไม่ ให้ถือว่าคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งของศาลนับตั้งแต่มีการยื่นคำฟ้องต่อศาลนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 227 และ 228 เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
มาตรา 227 คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับหรือให้คืนคำคู่ความตามมาตรา 18 หรือคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา 24 ซึ่งทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องนั้น มิให้ถือว่าเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณาและให้อยู่ภายในข้อบังคับของการอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี
มาตรา 228 ก่อนศาลชี้ขาดตัดสินคดี ถ้าศาลมีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้คือ
(1) ให้กักขัง หรือปรับไหม หรือจำขัง ผู้ใด ตามประมวลกฎหมายนี้
(2) มีคำสั่งอันเกี่ยวด้วยคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความในระหว่างการพิจารณา หรือมีคำสั่งอันเกี่ยวด้วยคำขอเพื่อจะบังคับคดีตามคำพิพากษาต่อไป หรือ
(3) ไม่รับหรือคืนคำคู่ความตามมาตรา 18 หรือวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา 24 ซึ่งมิได้ทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง หากเสร็จไปเฉพาะแต่ประเด็นบางข้อ
คำสั่งเช่นว่านี้ คู่ความย่อมอุทธรณ์ได้ภายในกำหนดหนึ่งเดือน นับแต่วันมีคำสั่งเป็นต้นไป
แม้ถึงว่าจะมีอุทธรณ์ในระหว่างพิจารณา ให้ศาลดำเนินคดีต่อไป และมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีนั้น แต่ถ้าในระหว่างพิจารณา คู่ความอุทธรณ์คำสั่งชนิดที่ระบุไว้ในอนุมาตรา (3) ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่า การกลับหรือแก้ไขคำสั่งที่คู่ความอุทธรณ์นั้นจะเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดคดี หรือวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นข้อใดที่ศาลล่างมิได้วินิจฉัยไว้ ให้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจทำคำสั่งให้ศาลล่างงดการพิจารณาไว้ในระหว่างอุทธรณ์ หรืองดการวินิจฉัยคดีไว้จนกว่าศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์นั้น
ถ้าคู่ความมิได้อุทธรณ์คำสั่งในระหว่างพิจารณาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรานี้ ก็ให้อุทธรณ์ได้ในเมื่อศาลพิพากษาคดีแล้วตามความในมาตรา 223
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว คำสั่งระหว่างพิจารณาจะอุทธรณ์ทันทีไม่ได้ ต้องโต้แย้งคำสั่งไว้เพื่อใช้สิทธิในการอุทธรณ์ภายหลังมีคำพิพากษาแล้ว ตามมาตรา 226 ตัวอย่างเช่น คำสั่งไม่อนุญาตให้ถอนฟ้อง (ฎ.698/2481) คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งว่าคดีที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีไม่มีข้อยุ่งยากให้ดำเนินคดีอย่างคดีมโนสาเร่ (ฎ.917/2539) เป็นต้น
ส่วนกรณีที่ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ตามความมาตรา 227 และ 228 นั้น คำสั่งศาลกรณีนี้ตามกฎหมายบัญญัติมิให้ถือว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา และอยู่ภายใต้บังคับการอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี หมายความว่า คำสั่งของศาลกรณีนี้ คู่ความมีสิทธิอุทธรณ์ได้ทันทีและจะต้องอุทธรณ์ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดี (โดยไม่ต้องโต้แย้ง)
(ก) กรณีตามอุทาหรณ์ นายสนจะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิพากษาคดีได้หรือไม่เห็นว่า การที่ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม ตามมาตรา 57(1) คำร้องดังกล่าวเป็นคำฟ้องซึ่งถือเป็นคำคู่ความ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องอันมีผลเป็นการไม่รับคำร้องสอด ดังนั้น คำสั่งศาลชั้นต้นจึงเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความ ตามมาตรา 227 ประกอบมาตรา 18 จึงไม่ถือว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา กรณีเช่นนี้นายสนย่อมอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้ภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง (ฎ.4410 –4411 / 2542)
(ข) กรณีตามอุทาหรณ์ โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิพากษาคดีได้หรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความ ตามมาตรา 57(3) คำร้องดังกล่าวไม่มีลักษณะเป็นคำฟ้องหรือคู่ความ ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นยกคำร้องของโจทก์ที่ให้เรียกธนาคารกรุงสุโขทัยฯ เข้ามาเป็นจำเลยร่วม กรณีจึงไม่เป็นคำสั่งไม่รับหรือคืนคู่ความ ตามมาตรา 18 แต่อย่างใด แต่ถือว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ตามมาตรา 226(1) (ฎ.9108/2544)
สรุป
(ก) นายสนอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้ภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง
(ข) โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิพากษาคดีไม่ได้
ข้อ 3 ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด ให้จำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดี ให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยเป็นเงิน 2,500,000 บาทแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาครบกำหนดเวลาในคำบังคับ จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ในชั้นบังคับคดีเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินของจำเลยและดำเนินการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล ก่อนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะขายทอดตลาดที่ดินที่ยึด จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลว่า รายได้ประจำปีจากที่ดินที่ยึดเพียงพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมกับค่าฤชาธรรมเนียมในการฟ้องร้องและการบังคับคดี ขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการที่ดินที่ยึดเพื่อนำเงินรายได้จากที่ดินที่ยึดมาวางต่อศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์แถลงคัดค้าน ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลย จำเลยอุทธรณ์คำสั่งพร้อมกับคำร้องให้ศาลมีคำสั่งให้งดการขายที่ดินของจำเลยไว้ก่อน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ ต่อมาศาลทำการไต่สวนคำร้องได้ข้อเท็จจริงดังที่กล่าวและมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลย
ดังนี้ ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า คำสั่งของศาลที่ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้งดการขายที่ดินของจำเลยไว้ก่อนชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 264 นอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในมาตรา 253 และมาตรา 254 คู่ความชอบที่จะยื่นคำขอต่อศาล เพื่อให้มีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษา เช่น ให้นำทรัพย์สินหรือเงินที่พิพาทมาวางต่อศาลหรือต่อบุคคลภายนอก หรือให้ตั้งผู้จัดการหรือผู้รักษาทรัพย์สินของห้างร้านที่ทำการค้าที่พิพาท หรือให้จัดให้บุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่ในความปกครองของบุคคลภายนอก
คำขอตามวรรคแรกให้บังคับตามมาตรา 21 มาตรา 25 มาตรา 227 มาตรา 228 มาตรา 260 และมาตรา 262
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ คำสั่งของศาลที่ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้งดการขายที่ดินของจำเลยไว้ก่อนชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งงดการขายที่ดินที่ยึดไว้ก่อนในระหว่างอุทธรณ์ถือเป็นคำขอที่จำเลยประสงค์ให้ศาลมีคำสั่งกำหนดวิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองจำเลยไว้ก่อนมีคำพิพากษาตามมาตรา 264 กรณีเช่นนี้ หากศาลจะมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอ ศาลจะต้องไต่สวนแล้วเห็นว่าเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอเพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิหรือประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งที่พิพาทให้ได้รับการคุ้มครองไว้ก่อนมีคำพิพากษา
เมื่อได้ความว่าศาลมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลย ย่อมมีผลเท่ากับให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินที่ยึดไว้ ซึ่งถ้าหากเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดไปแล้ว หากศาลอุทธรณ์พิจารณาอุทธรณ์แล้วมีความเห็นว่าควรตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการที่ดินตามคำร้อง ก็จะไม่สามารถบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ได้ จึงไม่ชอบที่สั่งยกคำร้องของจำเลย เนื่องจากไม่เป็นการคุ้มครองประโยชน์ของจำเลย แต่เมื่อศาลได้ยกคำร้องของจำเลย คำสั่งของศาลย่อมไม่ชอบด้วยมาตรา 264 (ฎ.3752/2533)
สรุป คำสั่งของศาลที่ให้ยกคำร้องของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 4 โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา นายแดงยื่นคำร้องว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของตนไม่ใช่ของจำเลย ขอให้ศาลมีคำสั่งถอนการยึดที่ดินแก่นายแดง โจทก์ยื่นคำให้การว่าที่ดินที่นำยึดเป็นของจำเลย ไม่ใช่ของนายแดง ขอให้ยกคำร้อง ระหว่างพิจารณาโจทก์กับนายแดงตกลงให้ศาลถอนการยึดที่ดินดังกล่าว โดยนายเขียวได้นำโฉนดที่ดินของนายเขียวมาวางค้ำประกันต่อศาลแทนการถอนการยึดที่ดินดังกล่าวมีข้อตกลงว่า ถ้านายแดงแพ้คดี นายเขียวยินยอมให้โจทก์บังคับชำระหนี้จากที่ดินของนายเขียวดังกล่าวแทนที่ดินโจทก์นำยึด ต่อมาศาลพิพากษาว่าที่ดินที่โจทก์นำยึดเป็นของนายแดงไม่ใช่ของจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธินำยึดโจทก์อุทธรณ์ ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ นายเขียวยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งคืนโฉนด ที่ดินของนายเขียวที่วางค้ำประกันต่อศาลไว้นั้น โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า คดียังไม่ถึงที่สุด หากศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โจทก์ย่อมมีสิทธิบังคับคดีเอาแก่ที่ดินของนายเขียวได้ นายเขียวไม่มีสิทธิขอคืน ขอให้ยกคำร้อง
ให้วินิจฉัยว่า นายเขียวมีสิทธิขอให้ศาลมีคำสั่งคืนโฉนดที่ดินดังกล่าวหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 274 ถ้าบุคคลใดๆได้เข้าเป็นผู้ค้ำประกันในศาลโดยทำเป็นหนังสือประกันหรือโดยวิธีอื่นๆ เพื่อการชำระหนี้ตามคำพิพากษา หรือคำสั่ง หรือแต่ส่วนใดส่วนหนึ่งแห่งคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น คำพิพากษาหรือคำสั่งเช่นว่านั้นย่อมใช้บังคับแก่การประกันนั้นได้โดยไม่ต้องฟ้องผู้ค้ำประกันขึ้นใหม่
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว สำหรับกำหนดระยะเวลาของการค้ำประกันในศาลนั้น นอกจากจะตกลงกันให้ค้ำประกันชั่วจำกัดระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง และภายใต้เงื่อนไขใดก็ได้แล้ว ผู้ค้ำประกันอาจตกลงเข้าค้ำประกันตลอดไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุดก็ได้ แต่ถ้าไม่ตกลงกันไว้ให้ชัดแจ้งว่าเป็นการค้ำประกันตลอดไปจนกว่าคดีถึงที่สุดหรือไม่ ย่อมเป็นการค้ำประกันเพียงชั่วระยะเวลาในระหว่างพิจารณาของแต่ละชั้นศาลเท่านั้น
กรณีตามอุทาหรณ์ นายเขียวผู้ค้ำประกันมีสิทธิขอให้ศาลมีคำสั่งคืนโฉนดที่ดินดังกล่าวหรือไม่ เห็นว่าตามสัญญาค้ำประกัน มีข้อตกลงกันเพียงว่า “ถ้านายแดงแพ้คดีนายเขียวยินยอมให้โจทก์บังคับชำระหนี้จากที่ดินของนายเขียว แทนที่ดินที่โจทก์นำยึดเท่านั้น” สัญญาค้ำประกันดังกล่าวไม่มีข้อความระบุว่า นายเขียวผู้ค้ำประกันยอมผูกพันตนค้ำประกันตลอดไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุดโดยชัดแจ้งแต่อย่างใด (ฎ.3653/2534) ดังนั้น เมื่อศาลพิพากษาให้นายแดงชนะคดี (พิพากษายกฟ้อง) โดยพิพากษาว่าที่ดินที่โจทก์นำยึดเป็นของนายแดงไม่ใช่ของจำเลย จึงไม่มีหนี้ที่นายเขียวผู้ค้ำประกันจะต้องชำระตามสัญญาค้ำประกัน และสัญญาค้ำประกันย่อมระงับสิ้นไปทันที แม้โจทก์จะอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลนั้นอยู่ก็ตาม โจทก์ไม่อาจอ้างว่าหากศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ตนชนะคดีแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิบังคับคดีเอาจากที่ดินที่นายเขียวนำมาวางค้ำประกันต่อศาลได้ คำคัดค้านของโจทก์ฟังไม่ขึ้น นายเขียวจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนโฉนดที่ดินได้ (ฎ.8228/2538)
สรุป นายเขียวมีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนโฉนดที่ดินได้