การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2549
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3007 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 2
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ
ข้อ 1 โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท อ้างว่าจำเลยได้อาศัยที่ดินดังกล่าวของมารดาโจทก์ เมื่อมารดาโจทก์เสียชีวิต โจทก์ได้รับมรดกที่ดินดังกล่าวมาและไม่ประสงค์จะให้จำเลยอาศัยอีกต่อไป ได้บอกกล่าวให้จำเลยขนย้ายออกจากที่ดินพิพาท แต่จำเลยเพิกเฉยไม่ยอมขนย้าย ที่ดินพิพาทหากนำออกให้เช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละ 4,000 บาท ขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ขนย้ายออกจากที่ดินพิพาทและชดใช้ค่าเสียหายนับแต่วันบอกกล่าวให้ขนย้ายจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 20,000 บาท จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยเป็นน้าชายโจทก์ จำเลยไม่ได้อาศัยแต่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบ เปิดเผยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปีแล้ว จำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยครอบครองปรปักษ์ โจทก์ไม่เสียหายขอให้ศาลยกฟ้อง
ระหว่างศาลชั้นต้นพิจารณาคดี คู่ความตกลงประนีประนอมยอมความโดยจำเลยยอมขนย้ายออกจากที่พิพาทภายใน 2 เดือนนับแต่ศาลมีคำพิพากษาตามยอม ส่วนโจทก์ไม่ติดใจเรียกค่าเสียหาย ศาลชั้นต้นพิพากษายอมหลังจากศาลมีคำพิพากษาตามยอมได้ 2 สัปดาห์ จำเลยจึงทราบโดยมีหลักฐานว่าทนายจำเลยได้ร่วมมือกับฝ่ายโจทก์หลอกลวงจำเลยให้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว จำเลยประสงค์จะอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้น ดังนี้จำเลยจะอุทธรณ์เช่นว่านี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 138 ในคดีที่คู่ความตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดีโดยมิได้มีการถอนคำฟ้องนั้น และข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความกันนั้นไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ให้ศาลจดรายงานพิสดารแสดงข้อความแห่งข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความเหล่านั้นไว้ แล้วพิพากษาไปตามนั้น
ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาเช่นว่านี้ เว้นแต่ในเหตุต่อไปนี้
(1) เมื่อมีข้อกล่าวอ้างว่าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล
(2) เมื่อคำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่าเป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
(3) เมื่อคำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่ามิได้เป็นไปตามข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความ
มาตรา 223 ภายใต้บังคับบทบัญญัติมาตรา 138 168 188 และ 222 และในลักษณะนี้ คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นนั้น ให้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ เว้นแต่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นจะได้บัญญัติว่าให้เป็นที่สุด
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว ในคดีที่มีคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความของคู่ความแล้ว จะอุทธรณ์ต่อไปไม่ได้ เว้นแต่กรณีเข้าข้อยกเว้นอย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 138 วรรคสอง กล่าวคือ
(1) เมื่อมีข้อกล่าวอ้างว่าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล
(2) เมื่อคำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่าเป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
(3) เมื่อคำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่ามิได้เป็นไปตามข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความ
กรณีตามอุทาหรณ์ จำเลยจะอุทธรณ์ได้หรือไม่ เห็นว่า จำเลยประสงค์จะอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้น อ้างว่า ทนายจำเลยได้ร่วมมือกับฝ่ายโจทก์หลอกลวงจำเลยให้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ กรณีเช่นนี้ เท่ากับกล่าวอ้างว่าสัญญาประนีประนอมเกิดขึ้นจากคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล ตามมาตรา 138 วรรคสอง (1) ดังนั้น จำเลยชอบที่จะอุทธรณ์เช่นว่านั้นได้ ตามมาตรา 138 วรรคสอง (1) ประกอบมาตรา 223 (ฎ.1150/2519)
สรุป จำเลยชอบที่จะอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้
ข้อ 2 โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ฟ้องขอให้บังคับจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกแบ่งที่ดินทรัพย์มรดกแก่โจทก์ทั้งสี่ ซึ่งเป็นทายาทคนละ 1 ส่วน รวม 4 ส่วน ใน 5 ส่วน คิดเป็นราคาที่ดินที่ขอแบ่งทั้งหมด 200,000 บาท จำเลยให้การว่าที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ทรัพย์มรดกขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสี่ คนละ 1 ส่วน รวม 4 ส่วน จำเลยอุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสี่ฟังไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ดังนี้ให้วินิจฉัยว่าจะรับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาได้หรือไม่ อย่างไร
ธงคำตอบ
มาตรา 224 วรรคแรก ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาทหรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เว้นแต่ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลชั้นต้นได้ทำความเห็นแย้งไว้หรือได้รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้ หรือถ้าไม่มีความเห็นแย้งหรือคำรับรองเช่นว่านี้ต้องได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นหรืออธิบดีผู้พิพากษาภาคผู้มีอำนาจแล้วแต่กรณี
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว ในคดีที่ทายาทหลายคนร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกจากจำเลยแม้ได้ความว่า โจทก์จะได้ฟ้องรวมกันมาก็ตาม หากจำเลยให้การต่อสู้ว่าทรัพย์ที่โจทก์ขอแบ่งมิใช่ทรัพย์มรดก กรณีเช่นนี้สิทธิในการอุทธรณ์ก็ต้องถือตามทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกจากกัน (ฎ.2125/2524 ฎ.5917/2544 (ประชุมใหญ่))
กรณีตามอุทาหรณ์ ศาลจะรับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้บังคับแบ่งที่ดินทรัพย์มรดกแก่โจทก์ทั้งสี่คน คนละ 1 ส่วน รวม 4 ส่วน คิดเป็นราคาที่ขอแบ่งทั้งหมด 200,000 บาท จำเลยให้การว่าที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ทรัพย์มรดก ขอให้ยกฟ้อง แม้ได้ความว่า โจทก์ทั้งสี่จะฟ้องรวมกันมาก็ตาม การอุทธรณ์ก็ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกัน เพราะเป็นเรื่องที่โจทก์แต่ละคนใช้สิทธิเฉพาะของตน เมื่อที่ดินที่โจทก์ทั้งสี่ตีราคาเป็นทุนทรัพย์รวมกันมานั้น ที่ดินแต่ละส่วนที่โจทก์แต่ละคนฟ้องขอแบ่งจึงมีราคาไม่เกิน 50,000 บาท (คนละ 50,000 บาท) ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ของจำเลยกับโจทก์แต่ละคนจึงมีราคาไม่เกิน 50,000 บาท ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตามมาตรา 224 วรรคแรก
ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสี่ฟังไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดก ถือเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจของศาลในการรับฟังพยานหลักฐาน อันเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ทั้งกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นของมาตรา 224 คือ ไม่มีความเห็นแย้งหรือได้รับรองอุทธรณ์ข้อเท็จจริงจากผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีหรืออธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นหรืออธิบดีผู้พิพากษาภาคอนุญาตเป็นหนังสือให้อุทธรณ์ข้อเท็จจริงได้ กรณีเช่นนี้ ศาลจึงไม่อาจรับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาได้แต่ประการใด (ฎ.5971/2544 (ประชุมใหญ่))
สรุป ศาลไม่อาจรับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาได้
ข้อ 3 ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด ให้จำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดี ให้จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์ 10 ล้านบาท จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ ในชั้นบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินของจำเลยไว้ตามคำขอของโจทก์ เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษา แต่นายแดงมายื่นคำร้องต่อศาลว่าที่ดินที่ยึดหาใช่ของจำเลยไม่ แต่เป็นของนายแดงผู้ร้อง ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ปล่อยที่ดินที่ยึด โจทก์แถลงคัดค้าน ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเห็นว่าที่ดินที่ยึดเป็นของจำเลย และมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอของนายแดง นายแดงอุทธรณ์พร้อมกับคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งงดการขายทอดตลาดที่ดินที่ยึดไว้ก่อนมีคำพิพากษา ศาลชั้นต้นตรวจอุทธรณ์และมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ ต่อมาศาลไต่สวนและมีคำสั่งให้ยกคำร้องที่ขอให้งดการขายทอดตลาดของนายแดง
ดังนี้ ศาลใดไต่สวนและมีคำสั่งยกคำร้องของนายแดง และคำสั่งยกคำร้องของนายแดงชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 254 วรรคท้าย ในระหว่างระยะเวลานับแต่ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีหรือชี้ขาดอุทธรณ์ไปจนถึงเวลาที่ศาลชั้นต้นได้ส่งสำนวนความที่อุทธรณ์หรือฎีกาไปยังศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา แล้วแต่กรณี คำขอตามมาตรานี้ให้ยื่นต่อศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นมีอำนาจที่จะสั่งอนุญาตหรือยกคำขอเช่นว่านี้
มาตรา 264 นอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในมาตรา 253 และมาตรา 254 คู่ความชอบที่จะยื่นคำขอต่อศาล เพื่อให้มีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษา เช่น ให้นำทรัพย์สินหรือเงินที่พิพาทมาวางต่อศาลหรือต่อบุคคลภายนอก หรือให้ตั้งผู้จัดการหรือผู้รักษาทรัพย์สินของห้างร้านที่ทำการค้าที่พิพาท หรือให้จัดให้บุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่ในความปกครองของบุคคลภายนอก
คำขอตามวรรคแรกให้บังคับตามมาตรา 21 มาตรา 25 มาตรา 227 มาตรา 228 มาตรา 260 และมาตรา 262
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว การที่ศาลจะสั่งอนุญาตให้คุ้มครองประโยชน์ ตามมาตรา 264 นั้น จะต้องเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอเพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิ หรือประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใดที่พิพาทให้ได้รับการคุ้มครองไว้จนกว่าศาลจะพิพากษา
คดีนี้เมื่อนายแดงบุคคลภายนอกยื่นคำร้องต่อศาลว่า ที่ดินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้หาใช่ของจำเลยไม่ แต่เป็นของนายแดงผู้ร้อง โจทก์แถลงคัดค้าน กรณีเช่นนี้ คดีพิพาทดังกล่าวถือว่าเป็นข้อพิพาทในชั้นบังคับคดีที่เรียกว่า คดีร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด (คดีร้องขัดทรัพย์) นายแดงผู้ร้องมีฐานะเสมือนเป็นโจทก์ ส่วนโจทก์เดิมหรือเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีฐานะเป็นจำเลย
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกว่า ศาลใดเป็นศาลที่ไต่สวนและมีคำสั่งยกคำร้องที่ขอให้งดการขายทอดตลาดของนายแดง เห็นว่า เมื่อพิจารณาบทบัญญัติมาตรา 264 วรรคสองแล้ว จะเห็นว่ามิได้บัญญัติให้นำมาตรา 254 มาใช้บังคับด้วย ดังนั้นหากศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ฎีกาแล้ว (ซึ่งถือว่าเป็นการสั่งรับแทนศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา) อำนาจในการสั่งคำร้องขอคุ้มครองตามมาตรา 264 นี้ ก็ตกอยู่กับศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาทันที ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจสั่ง ต่างกับกรณีตามมาตรา 254 ซึ่งแม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับอุทธรณ์หรือฎีกาแล้ว แต่หากศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกายังไม่รับสำนวนลงสารบบ ก็ยังเป็นอำนาจของศาลชั้นต้นเท่านั้นที่จะพิจารณาสั่ง
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงอุทธรณ์คำสั่งยกคำร้องขอให้ปล่อยที่ดินที่ยึดพร้อมกับยื่นคำร้องให้ศาลมีคำสั่งงดการขายทอดตลาดที่ดินที่ยึดไว้ก่อนมีคำพิพากษา ถือเป็นคำร้องขอวิธีการชั่วคราว ตามมาตรา 264 (ไม่ใช่เรื่องขอทุเลาการบังคับตามมาตรา 231 (ฎ.1606/2534)) กรณีเช่นนี้ ศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นศาลที่คดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณา จึงเป็นศาลที่มีอำนาจไต่สวนและมีคำสั่งคำร้องของนายแดง
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า การที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องของนายแดงชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า เมื่อศาลอุทธรณ์ไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้องของนายแดงที่ขอให้งดการขายทอดตลาด กรณีเช่นนี้มีผลเท่ากับศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินที่ยึดต่อไปได้ ซึ่งถ้าหากเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินที่ยึดเสร็จไปแล้ว แต่ปรากฏต่อมาว่าศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษากลับว่าที่ดินที่ยึดเป็นของนายแดง ให้ปล่อยที่ดินที่ยึด ก็จะเป็นเหตุให้นายแดงต้องเสียสิทธิในที่ดิน เป็นที่เสียหายแก่นายแดง เพราะไม่อาจบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์สั่งยกคำร้องของนายแดง โดยยังไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ คำสั่งยกคำร้องของศาลอุทธรณ์ย่อมไม่ชอบด้วยมาตรา 264 (เทียบ ฎ. 3452/2533)
สรุป ศาลอุทธรณ์เป็นศาลที่ไต่สวนและมีคำสั่งยกคำร้องของนายแดง และคำสั่งยกคำร้องของนายแดงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 4 ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 1234 ให้แก่โจทก์ โจทก์ยื่นคำแถลงต่อศาลแพ่งว่า จำเลยไม่ยอมโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ขอให้ออกคำบังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทหากไม่สามารถโอนได้ให้จำเลยใช้ราคา 1,000,000 บาท ศาลแพ่งได้ออกคำบังคับตามคำแถลงของโจทก์ จำเลยได้ทราบคำบังคับแต่ไม่ยอมปฏิบัติจนล่วงพ้นกำหนดเวลาตามคำบังคับแล้ว
ให้วินิจฉัยว่า (ก) โจทก์จะร้องขอให้บังคับคดีดังกล่าวได้หรือไม่ (ข) หากจำเลยได้ทราบคำบังคับ ซึ่งได้ออกโดยชอบแล้ว ศาลแพ่งจะออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยเพื่อให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาได้หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 271 ถ้าคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดี (ลูกหนี้ตามคำพิพากษา) มิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทั้งหมดหรือบางส่วน คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะ (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา หรือคำสั่งนั้นได้ภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง โดยอาศัยและตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น
มาตรา 275 วรรคแรก ถ้าเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะขอให้บังคับคดี ให้ยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่อศาลเพื่อให้ออกหมายบังคับคดี
มาตรา 278 วรรคแรก ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งภาคนี้ว่าด้วยอำนาจและหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดี นับแต่วันที่ได้ส่งหมายบังคับคดีให้แก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือถ้าหมายนั้นมิได้ส่งนับแต่วันออกหมายนั้นเป็นต้นไป ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจในฐานเป็นผู้แทนเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ในอันที่จะรับชำระหนี้หรือทรัพย์สินที่ลูกหนี้นำมาวางและออกใบรับให้กับมีอำนาจที่จะยึดหรืออายัดและยึดถือทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไว้ และมีอำนาจที่จะเอาทรัพย์สินเช่นว่านี้ออกขายทอดตลาด ทั้งมีอำนาจที่จะจำหน่ายทรัพย์สินหรือเงินรายได้จากการนั้นและดำเนินวิธีการบังคับทั่วๆไป ตามที่ศาลได้กำหนดไว้ในหมายบังคับคดี
วินิจฉัย
(ก) กรณีตามอุทาหรณ์ โจทก์จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำบังคับดังกล่าวได้หรือไม่ เห็นว่า ตามมาตรา 271 กำหนดให้ คู่ความหรือบุคคลที่เป็นฝ่ายชนะคดี (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยอาศัยและตามคำบังคับซึ่งได้ออกตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ซึ่งเมื่อพิจารณาตามข้อเท็จจริงแล้วได้ความว่า ศาลแพ่งเพียงแต่พิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 1234 แก่โจทก์ มิได้กำหนดให้จำเลยใช้ราคาแทนในเมื่อไม่สามารถโอนที่ดินพิพาทได้ การที่โจทก์ขอให้ออกคำบังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาท หากไม่สามารถโอนได้ให้ใช้ราคา 1,000,000 บาท จึงเป็นการขอให้ออกคำบังคับนอกเหนือไปจากตามคำพิพากษาของศาล จึงไม่ชอบด้วยมาตรา 271 แม้จะล่วงพ้นกำหนดเวลาตามคำบังคับและจำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามคำบังคับ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิขอให้บังคับคดีตามคำบังคับซึ่งนอกเหนือไปจากคำพิพากษาได้
(ข) กรณีตามอุทาหรณ์ หากจำเลยได้ทราบคำบังคับซึ่งได้ออกโดยชอบแล้ว ศาลแพ่งจะออกหมายบังคับแก่จำเลยเพื่อให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาได้หรือไม่ เห็นว่า การขอให้ออกหมายบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 275 นั้น จะต้องเป็นการบังคับคดีที่ต้องดำเนินการโดยทางเจ้าพนักงานบังคับคดีเนื่องจากหมายบังคับคดีเป็นหมายของศาลที่ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจในฐานเป็นผู้แทนเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในอันที่จะรับชำระหนี้หรือทรัพย์สินที่ลูกหนี้นำมาวางกับมีอำนาจที่จะยึดหรืออายัดและเอาทรัพย์สินเช่นว่านี้ออกขายทอดตลาด ตามมาตรา 278 เมื่อได้ความว่า การบังคับตามคำพิพากษากำหนดให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์อันเป็นหนี้เกี่ยวกับการกระทำนิติกรรม (ไม่อาจดำเนินการโดยเจ้าพนักงานบังคับคดีได้) และเมื่อจำเลยทราบคำบังคับแล้ว แต่ไม่ยอมปฏิบัติ กรณีเช่นนี้ โจทก์ก็ชอบที่จะขอให้บังคับคดีโดยขอให้ศาลมีคำสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยได้ (ฎ. 2701/2537) กรณีมิใช่การบังคับคดีที่จะต้องอาศัยหรือดำเนินการโดยทางเจ้าพนักงานบังคับคดี ศาลแพ่งจึงไม่อาจออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยเพื่อให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาได้
สรุป
(ก) โจทก์ร้องขอให้บังคับคดีตามคำบังคับไม่ได้
(ข) ศาลแพ่งไม่อาจออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยเพื่อให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาได้