การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2552
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3007 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 2
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 คดีแพ่งเรื่องหนึ่ง ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์ก่อน ตัวโจทก์ซึ่งอ้างตนเองเป็นพยานและจะต้องเข้าเบิกความเป็นคนแรกไม่มาศาลตามนัด ทั้งไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบ ทั้งไม่มีพยานโจทก์คนใดมาศาลเลย ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความโดยจำเลยไม่คัดค้าน หลังจากศาลมีคำสั่ง 2 วัน จึงทราบความจริงว่าในวันนับสืบพยานโจทก์นั้น ทนายโจทก์ได้ขับรถยนต์ไปรับตัวโจทก์และพยานบุคคลอื่นๆ เพื่อจะมาศาลแต่เกิดอุบัติเหตุรถยนต์ตกถนน เนื่องจากฝนตกถนนลื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส ทุกคนไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ไม่สามารถติดต่อแจ้งศาลได้ ทำให้มาศาลไม่ได้ เคราะห์ดีที่มีผู้ผ่านมาเห็นเหตุการณ์ช่วยแจ้งเจ้าหน้าที่ช่วยชีวิตได้ทัน ดังนี้ให้วินิจฉัยว่าโจทก์จะอุทธรณ์ขอศาลอุทธรณ์เพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดี ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีต่อไปได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 202 ถ้าโจทก์ขาดนัดพิจารณา ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความ
มาตรา 203 ห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีตามมาตรา 201 และมาตรา 202 แต่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยอายุความ คำสั่งเช่นว่านี้ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะเสนอคำฟ้องของตนใหม่
มาตรา 223 ภายใต้บังคับบทบัญญัติมาตรา 138 168 188 และ 222 และในลักษณะนี้ คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นนั้น ให้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ เว้นแต่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นจะได้บัญญัติว่าให้เป็นที่สุด
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นอุทธรณ์ได้เสมอ เว้นแต่กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนี้ หรือกฎหมายอื่นบัญญัติเป็นที่สุดหรือบัญญัติห้ามอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น ทั้งนี้ตามมาตรา 223
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า โจทก์จะอุทธรณ์ขอศาลอุทธรณ์เพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดี ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีต่อไปได้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อโจทก์ไม่มาศาลตามนัด ทั้งไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบ ทั้งไม่มีพยานโจทก์คนใดมาศาลเลย จึงเป็นกรณีที่โจทก์ขาดนัดพิจารณา ซึ่งตามมาตรา 202 บัญญัติบังคับให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เว้นแต่จำเลยจะขอให้พิจารณาต่อไป เมื่อปรากฏว่าจำเลยไม่คัดค้านคำสั่งจำหน่ายคดี การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีของโจทก์ออกจากสารบบความ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย และผลของคำสั่งจำหน่ายคดีตามมาตรา 202 นี้ บทบัญญัติมาตรา 203 กำหนดห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีเช่นว่านั้น โจทก์จึงหมดสิทธิอุทธรณ์ขอเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีต่อไปตามมาตรา 223
สรุป โจทก์จะอุทธรณ์ขอเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีต่อไปไม่ได้
ข้อ 2 โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จำเลยบุกรุกเข้ามาปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นเนื้อที่ 50 ตารางวา ที่ดินของโจทก์มีราคาตารางวาระ 20,000 บาท โจทก์บอกกล่าวขับไล่จำเลยแล้ว จำเลยกลับอ้างว่าจำเลยได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทของโจทก์จนได้กรรมสิทธิ์แล้ว จึงขอให้บังคับขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทของโจทก์ ศาลชั้นต้นสั่งคำฟ้องโจทก์ว่า คำฟ้องโจทก์เป็นคดีมีทุนทรัพย์ ให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มเติมอย่างคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่พิพาท มิฉะนั้นจะไม่รับคำฟ้อง ให้วินิจฉัยว่า
(ก) โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มเติมอย่างคดีมีทุนทรัพย์ได้หรือไม่ กรณีหนึ่ง
(ข) หากโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้อง โดยขอตัดข้อความในคำฟ้องเดิมที่ว่า “จำเลยกลับอ้างว่า จำเลยได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทของโจทก์จนได้กรรมสิทธิ์แล้ว” ออก นอกนั้นคงไว้ตามเดิม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาต โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องดังกล่าวได้หรือไม่ อีกกรณีหนึ่ง
ธงคำตอบ
มาตรา 1 ในประมวลกฎหมายนี้ ถ้าข้อความมิได้แสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น
(5) “คำคู่ความ” หมายความว่า บรรดาคำฟ้อง คำให้การหรือคำร้องทั้งหลายที่ยื่นต่อศาลเพื่อตั้งประเด็นระหว่างคู่ความ
มาตรา 18 วรรคท้าย คำสั่งของศาลที่ไม่รับหรือให้คืนคำคู่ความตามมาตรานี้ ให้อุทธรณ์และฎีกาได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 227 228 และ 247
มาตรา 226 ก่อนศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ถ้าศาลนั้นได้มีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 227 และ 228
(1) ห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณา
(2) ถ้าคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งคำสั่งใด ให้ศาลจดข้อโต้แย้งนั้นลงไว้ในรายงาน คู่ความที่โต้แย้งชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลได้มีคำพิพากษา หรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีนั้นเป็นต้นไป
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ไม่ว่าศาลจะได้มีคำสั่งให้รับคำฟ้องไว้แล้วหรือไม่ ให้ถือว่าคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งของศาลนับตั้งแต่มีการยื่นคำฟ้องต่อศาลนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 227 และ 228 เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
มาตรา 227 คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับหรือให้คืนคำคู่ความตามมาตรา 18 หรือคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา 24 ซึ่งทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องนั้น มิให้ถือว่าเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณาและให้อยู่ภายในข้อบังคับของการอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี
มาตรา 228 วรรคแรกและวรรคสอง ก่อนศาลชี้ขาดตัดสินคดี ถ้าศาลมีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้คือ
(3) ไม่รับหรือคืนคำคู่ความตามมาตรา 18 หรือวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา 24 ซึ่งมิได้ทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง หากเสร็จไปเฉพาะแต่ประเด็นบางข้อ
คำสั่งเช่นว่านี้ คู่ความย่อมอุทธรณ์ได้ภายในกำหนดหนึ่งเดือน นับแต่วันมีคำสั่งเป็นต้นไป
วินิจฉัย
คำสั่งของศาลที่จะถือว่าเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณานั้น มีหลักเกณฑ์ดังนี้
1 จะต้องเป็นคำสั่งของศาลที่สั่งก่อนชี้ขาดตัดสินหรือจำหน่ายคดี
2 เมื่อศาลสั่งไปแล้วไม่ทำให้คดีเสร็จไปจากศาล กล่าวคือ ศาลยังต้องทำคดีนั้นต่อไป
3 ไม่ใช่คำสั่งตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 227 และมาตรา 228
เมื่อเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาแล้ว คู่ความจะอุทธรณ์คำสั่งทันทีไม่ได้ ต้องโต้แย้งคัดค้านคำสั่งไว้ก่อนจึงจะเกิดสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นตามมาตรา 226 (2) ส่วนคำสั่งของศาลนอกเหนือจากหลักเกณฑ์ 3 ประการนี้ไม่ถือว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จึงไม่อยู่ในบังคับที่ต้องโต้แย้งก่อนที่จะอุทธรณ์แต่ประการใด (อุทธรณ์ได้ทันที)
(ก) กรณีตามอุทธรณ์ กรณีคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มเติมอย่างคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท มิฉะนั้นจะไม่รับคำฟ้องนั้น แม้เป็นคำสั่งที่ศาลนั้นจะให้รับคำฟ้องไว้ก็ตาม แต่เมื่อเป็นคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งของศาลนับตั้งแต่มีการยื่นคำฟ้องต่อศาล นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 227 และมาตรา 228 แล้ว กรณีจึงถือว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226 วรรคสอง ซึ่งมาตรา 226 วรรคแรก (1) บัญญัติห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณา โจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าว (ฎ. 421/2518)
(ข) คำร้องของโจทก์ที่ขอแก้ไขคำฟ้อง โดยขอตัดข้อความในคำฟ้องเดิมที่ว่า “จำเลยกลับอ้างว่าจำเลยได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทของโจทก์จนได้กรรมสิทธิ์แล้ว” ออก ถือเป็นคำร้องที่โจทก์ขอแก้ไขข้อหาอันกล่าวไว้ในคำฟ้องที่เสนอต่อศาลแต่แรก จึงเป็นคำคู่ความตามมาตรา 1 (5) และมาตรา 179 คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องดังกล่าว ย่อมมีผลเป็นคำสั่งไม่รับคู่ความตามมาตรา 18 ซึ่งมิได้ทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง หากเสร็จไปเฉพาะแต่ประเด็นบางข้อตามมาตรา 228 (3) และไม่ถือว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226 โจทก์จึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้ตามมาตรา 228 วรรคสอง คือ ภายใน 1 เดือนนับแต่วันมีคำสั่งเป็นต้นไป ทั้งนี้แม้คดีจะอยู่ในระหว่างการพิจารณาก็ตาม (ฎ. 1488/2529)
สรุป (ก) โจทก์ไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น
(ข) โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น
หมายเหตุ กรณีตาม (ข) หากศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้อง จะไม่ถือว่าเป็นคำสั่งตามมาตรา 228 (3) แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226 ดังนั้นหากจำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจะต้องโต้แย้งคัดค้านคำสั่งนั้นก่อน (ฎ. 58/2531, ฎ. 1292 – 1293/2512)
ข้อ 3 โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับขับไล่จำเลยให้ออกไปจากบ้านและที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้ว่าบ้านและที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายและจำเลยก็เป็นทายาท โจทก์จะบังคับขับไล่จำเลยไม่ได้ ขอให้ศาลยกฟ้องโจทก์ ศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าบ้านและที่ดินที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย โจทก์และจำเลยต่างก็เป็นทายาทของผู้ตาย และมีคำพิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดีให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะส่งสำนวนความที่อุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลว่า บ้านและที่ดินพิพาทมีค่าเช่าในระหว่างคดีเดือนละ 5,000 บาท และโจทก์เป็นผู้รับไปแต่ฝ่ายเดียว ทำให้จำเลยต้องเสียหายและเสียสิทธิไม่ได้ค่าเช่าอันเกิดจากบ้านและที่ดินที่พิพาทในระหว่างคดี ขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์นำค่าเช่าอันเกิดจากบ้านและที่ดินที่พิพาทในระหว่างคดี ขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์นำค่าเช่าอันเกิดจากบ้านและที่ดินที่พิพาทมาวางต่อศาลไว้ก่อนมีคำพิพากษา ศาลไต่สวนสืบพยานโจทก์ จำเลยได้ข้อเท็จจริงตามคำร้องของจำเลย และมีคำสั่งให้โจทก์นำค่าเช่าอันเกิดจากบ้านและที่ดินที่พิพาทในระหว่างคดีมาวางต่อศาลไว้ก่อนมีคำพิพากษา
ดังนี้ ท่านเห็นว่าคำสั่งของศาลที่ให้โจทก์นำค่าเช่ามาวางต่อศาลไว้ก่อนมีคำพิพากษาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพาะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 264 นอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในมาตรา 253 และมาตรา 254 คู่ความชอบที่จะยื่นคำขอต่อศาล เพื่อให้มีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษา เช่น ให้นำทรัพย์สินหรือเงินที่พิพาทมาวางต่อศาลหรือต่อบุคคลภายนอก หรือให้ตั้งผู้จัดการหรือผู้รักษาทรัพย์สินของห้างร้านที่ทำการค้าที่พิพาท หรือให้จัดให้บุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่ในความปกครองของบุคคลภายนอก
คำขอตามวรรคแรกให้บังคับตามมาตรา 21 มาตรา 25 มาตรา 227 มาตรา 228 มาตรา 260 และมาตรา 262
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว ในการพิจารณาเพื่อมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอที่ยื่นไว้ตามมาตรา 26 ศาลจะต้องพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอเพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิ หรือประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งที่พิพาทในคดีให้ได้รับการคุ้มครองไว้จนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษาหรือเพื่อความสะดวกในการบังคับคดีตามคำพิพากษา
กรณีตามอุทาหรณ์ เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านและที่ดินพิพาท เมื่อจำเลยให้การต่อสู้คดีเพียงขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ แต่จำเลยมิได้ฟ้องแย้งในเรื่องค่าเช่าอันเกิดจากบ้านและที่ดินพิพาทด้วย ดังนั้นจำเลยจึงร้องขอให้โจทก์นำค่าเช่ามาวางต่อศาลไม่ได้ เพราะถ้าจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีศาลก็จะพิพากษายกฟ้องโจทก์ไปตามคำขอท้ายคำให้การของจำเลยเท่านั้น จำเลยไม่เสียหายอะไร ไม่มีผลบังคับไปถึงค่าเช่าอันเกิดจากบบ้านและที่ดินพิพาทด้วยแต่ประการใด กรณีไม่ใช่เป็นการคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยตามมาตรา 264 ดังนั้น คำสั่งของศาลที่ให้โจทก์ นำค่าเช่ามาวางต่อศาลเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยมาตรา 264 (ฎ. 1463/2515, ฎ.1177/2524)
สรุป คำสั่งของศาลที่ให้โจทก์นำค่าเช่ามาวางต่อศาลไว้ก่อนมีคำพิพากษาไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 4 ในกรณีดังต่อไปนี้ โจทก์จะดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยได้หรือไม่ อย่างไร
(ก) ในวันนัดฟังคำพิพากษา โจทก์มาศาล ส่วนจำเลยไม่มาศาล ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้แก่โจทก์ฟังฝ่ายเดียว โดยพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ภายใน 15 วัน นับแต่วันพิพากษา ปรากฏว่าพ้นกำหนด 15 วันแล้ว จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา
(ข) ในวันนัดฟังคำพิพากษา จำเลยมาศาล ส่วนโจทก์ไม่มาศาล ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้แก่จำเลยฟังฝ่ายเดียว โดยพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษานี้ หากจำเลยไม่ปฏิบัติจะต้องถูกยึดทรัพย์ หรือถูกจับ และจำขังตามบทบัญญัติว่าด้วยการบังคับคดี และจำเลยได้ลงชื่อรับทราบคำสั่งดังกล่าวไว้ ปรากฏว่าพ้นกำหนด 30 วันแล้ว จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา
ธงคำตอบ
มาตรา 271 ถ้าคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดี (ลูกหนี้ตามคำพิพากษา) มิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทั้งหมดหรือบางส่วน คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะ (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา หรือคำสั่งนั้นได้ภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง โดยอาศัยและตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น
มาตรา 272 ถ้าศาลได้พิพากษาหรือมีคำสั่งอย่างใดซึ่งจะต้องมีการบังคับคดี ก็ให้ศาลมีคำบังคับกำหนดวิธีที่จะปฏิบัติตามคำบังคับในวันที่ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่ง และให้เจ้าพนักงานศาลส่งคำบังคับนั้นไปยังลูกหนี้ตามคำพิพากษา เว้นแต่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้อยู่ในศาลในเวลาที่ศาลมีคำบังคับนั้นและศาลได้สั่งให้ลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญ
มาตรา 275 ถ้าเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะขอให้บังคับคดี ให้ยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่อศาลเพื่อให้ออกหมายบังคับคดี
มาตรา 282 วรรคแรก ถ้าคำพิพากษาหรือคำสั่งใดกำหนดให้ชำระเงินจำนวนหนึ่ง ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติห้ามาตราต่อไปนี้ เจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมมีอำนาจที่จะรวบรวมเงินให้พอชำระตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยวิธียึดหรืออายัด และขายทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามบทบัญญัติในลักษณะนี้
วินิจฉัย
(ก) ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า โจทก์จะดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยได้หรือไม่อย่างไร เห็นว่า ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้แก่โจทก์ซึ่งมาศาลฟังฝ่ายเดียว โดยพิพากษาให้แก่จำเลยไปจดทะเบียนภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ภายใน 15 วัน นับแต่วันพิพากษา อันเป็นกรณีที่จะต้องมีการบังคับคดีแก่จำเลยในฐานะลูกหนี้ตามคำพิพากษา เมื่อจำเลยมิได้มาศาลในวันดังกล่าว ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะมีคำบังคับกำหนดวิธีที่จะปฏิบัติตามคำบังคับส่งไปยังจำเลยตามมาตรา 272 ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นยังมิได้มีการส่งคำบังคับไปยังจำเลย แม้จะพ้นกำหนดเวลาที่จำเลยจะต้องไปจดทะเบียนภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ตามที่กำหนดไว้ในคำพิพากษาแล้วก็ตาม โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาก็จะต้องขอให้ศาลมีคำบังคับส่งไปยังจำเลยเพื่อกำหนดเวลาให้จำเลยปฏิบัติตามคำบังคับด้วย หากพ้นกำหนดเวลาตามคำพิพากษาต่อไป
(ข) ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า โจทก์จะดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยได้หรือไม่อย่างไร เห็นว่า ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้แก่จำเลยซึ่งมาศาลฟังฝ่ายเดียว โดยพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ และศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษานี้ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกยึดทรัพย์ หรือถูกจับ และจำขังตามบทบัญญัติว่าด้วยการบังคับคดีและจำเลยได้ลงชื่อรับทราบคำสั่งดังกล่าวไว้แล้ว อันเป็นกรณีที่ศาลมีคำบังคับแก่จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามมาตรา 271, 272 แล้ว เมื่อพ้นกำหนดเวลาตามคำบังคับ จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาที่กำหนดให้ชำระเงินแก่โจทก์และการบังคับคดีตามคำพิพากษาดังกล่าวจะต้องดำเนินการโดยทางเจ้าพนักงานบังคับคดีตามมาตรา 282 วรรคแรก โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจึงชอบที่จะยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่อศาลเพื่อออกหมายบังคับคดีตามมาตรา 275 วรรคแรก เพื่อดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยตามคำพิพากษาต่อไป
สรุป (ก) โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องขอให้ศาลมีคำบังคับส่งไปยังจำเลยเพื่อกำหนดเวลาให้จำเลยปฏิบัติตามคำบังคับ
(ข) โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่อศาลเพื่อออกหมายบังคับคดีตามมาตรา 275 เพื่อดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยตามคำพิพากษาต่อไป