การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560
ข้อสอบกระบวนวิชา MCS 3151 (MCS 3100) การสื่อสารเพื่อมนุษยสัมพันธ์
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว
1 ข้อใดคือความหมายของมนุษยสัมพันธ์
(1) ทักษะการพัฒนาตนเอง
(2) ทักษะการปฏิสัมพันธ์
(3) ทักษะการติดต่อสื่อสาร
(4) ทักษะการแสดงตนในสังคม
ตอบ 2 หน้า 1 – 4, 23 นักวิชาการได้ให้ความหมายของมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations) ไว้มากมาย แต่ความหมายที่สั้นและตรงที่สุดเห็นจะได้แก่ความหมายที่ว่า การติดต่อสัมพันธ์ ระหว่างผู้คน ทักษะการมีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่างมนุษย์ หรือทักษะในการปรับตัว เพื่อให้มนุษย์สามารถเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข
2 ข้อใดแสดงถึงลักษณะของบุคคลที่มีมนุษยสัมพันธ์
(1) ยิ้มแย้มแจ่มใส
(2) พูดจาสุภาพอ่อนหวาน
(3) แสดงออกตามกาลเทศะ
(4) เห็นอกเห็นใจผู้อื่น
ตอบ 3 หน้า 1, (คําบรรยาย) คุณลักษณะของบุคคลที่มีมนุษยสัมพันธ์นั้นย่อมจะเข้าใจในเรื่อง การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และมีทักษะในการแสดงออกซึ่งพฤติกรรมที่เหมาะสมกับบุคคลและ สอดคล้องกับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังต้องรู้จักกาลเทศะและปรับตัวให้เข้ากับ สถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข
3 สาเหตุใดที่ทําให้มนุษย์เริ่มมีการรวมตัวเป็นกลุ่มสังคม
(1) มนุษย์ต้องการเพื่อน
(2) มนุษย์ต้องการการยอมรับ
(3) มนุษย์ต้องการอํานาจ
(4) มนุษย์ต้องการความปลอดภัย
ตอบ 4. หน้า 9 ปัจจัยสําคัญที่ทําให้มนุษย์เริ่มต้นรวมตัวเพื่ออยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มสังคม มีสาเหตุมาจากความต้องการความมั่นคงปลอดภัย (Safety and Security Needs) และเพื่อความอยู่รอด ซึ่งเป็นการอยู่ร่วมกันโดยมีความสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการ และเป็นไปโดยอัตโนมัติ แต่เมื่อมนุษย์มาอยู่ร่วมกันเป็นสังคมที่ใหญ่ขึ้น สังคมมนุษย์ได้แตกเป็นกลุ่มเป็นสถาบันย่อย ๆ ทําให้ ความสัมพันธ์เป็นไปในรูปแบบที่เป็นทางการขึ้น แต่ก็เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เสมอภาค มีการเอารัดเอาเปรียบกัน
4 ปัจจัยใดทําให้มนุษย์มีความสามารถด้านมนุษยสัมพันธ์
(1) ปฏิกิริยาโต้ตอบจากบุคคลอื่น
(2) พันธุกรรม
(3) พรสวรรค์
(4) ความต้องการของมนุษย์
ตอบ 1 หน้า 15, (คําบรรยาย) ปัจจัยที่ทําให้บุคคลมีความสามารถด้านมนุษยสัมพันธ์ ได้แก่
1 สภาพแวดล้อม ถือเป็นปัจจัยเริ่มแรก เช่น สายใยรักในครอบครัว หรือความรักความเอาใจใส่ ในครอบครัว การเลี้ยงดูในวัยเด็ก ฯลฯ
2 การอบรมสั่งสอน เช่น การรับฟังความรู้หรือข้อแนะนําเกี่ยวกับพฤติกรรมการแสดงออก ที่เหมาะสมจากพ่อแม่ ครู และญาติพี่น้อง ฯลฯ
3 ประสบการณ์ที่ได้รับ เช่น ปฏิกิริยาตอบกลับ ปฏิกิริยาป้อนกลับ หรือปฏิกิริยาโต้ตอบ (Feedback) จากคู่สื่อสารหรือคนรอบตัว ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่สื่อสาร และคําวิพากษ์วิจารณ์จากบุคคลอื่น
5 ความเชื่อของบุคคล เป็นสาเหตุใดที่เป็นอุปสรรคในการสร้างมนุษยสัมพันธ์
(1) ความแตกต่างด้านประสบการณ์
(2) ความแตกต่างด้านภูมิหลัง
(3) ความแตกต่างด้านความคิดเห็น
(4) ความแตกต่างด้านผลประโยชน์
ตอบ 3 หน้า 16, 79, (คําบรรยาย) สาเหตุที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างมนุษยสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่น ได้แก่
1 ความแตกต่างด้านประสบการณ์และภูมิหลัง เช่น อายุ เพศ อาชีพ การศึกษา สถานภาพ ทางเศรษฐกิจและสังคม ฯลฯ
2 ความแตกต่างด้านความคิดเห็น เป็นความแตกต่างของสภาพแวดล้อมทางจิตวิทยาของบุคคล ในลักษณะที่เป็นนามธรรม เช่น ความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม และรสนิยม ฯลฯ ซึ่งถ้าหาก ไม่ยอมรับกันแล้ว ความเข้าใจระหว่างกันก็จะเกิดขึ้นได้ยาก
3 ความแตกต่างด้านผลประโยชน์ คือ ผลประโยชน์ขัดกัน ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งในรูปของสิ่งของ วัตถุ เงินทอง ชื่อเสียง ลาภ ยศ ฯลฯ มักทําให้เกิดความไม่พอใจและความแตกแยกได้ง่าย เพราะธรรมชาติของมนุษย์จะไม่ยอมเสียเปรียบผู้อื่น
6 ข้อใดไม่ใช่ผลจากการศึกษาฮอธอร์น
(1) ผลผลิตจะเพิ่มขึ้น และลดลงตามความเข้มของแสงสว่าง
(2) คนงานมีทัศนคติที่ดีกับผู้บริหารที่ให้อิสระในการทํางาน
(3) มีการรวมกลุ่มอย่างไม่เป็นทางการของคนงาน
(4) ผลผลิตของคนงานที่ได้หยุดพักและไม่ได้หยุดพักระหว่างการทํางานไม่แตกต่างกัน
ตอบ 1 หน้า 13 – 14, (คําบรรยาย) ศาสตราจารย์เอลตัน เมโย (Elton Mayo) เป็นหัวหน้าคณะที่ศึกษากรณีฮอธอร์น (Hawthorne Studies) คือ การศึกษาปัจจัยแห่งประสิทธิภาพของการ ทํางานในโรงงานแห่งหนึ่ง โดยศึกษาปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมทางกายภาพ ได้แก่ ระยะเวลา หยุดพักและแสงสว่างหรืออุณหภูมิ รวมทั้งศึกษาปัจจัยด้านทัศนคติของคนงาน ซึ่งพบว่า
1 ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นตามความเข้มของแสงสว่าง แต่จะไม่ลดลงเมื่อความเข้มของแสงสว่างลดลง
2 ผลผลิตของคนงานที่ได้หยุดพักระหว่างการทํางานกับที่ไม่ได้หยุดพักไม่แตกต่างกัน
3 คนงานจะมีทัศนคติที่ดีต่อนายจ้างหรือผู้บริหารที่ให้อิสระในการทํางาน
4 มีการรวมกลุ่มอย่างไม่เป็นทางการของคนงาน ซึ่งมีความสําคัญอย่างมากต่อการเพิ่ม
ประสิทธิภาพในการทํางาน
5 กลุ่มคนงานที่รวมตัวอย่างไม่เป็นทางการมีความขัดแย้งกับกลุ่มที่เป็นทางการ ฯลฯ
ข้อ 7. – 9.ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) โรเบิร์ต โอเวน
(2) เอลตัน เมโย
(3) แอนดรู ยูรี
(4) เฮ็นรี่ แกนต์
7 ใครคือนายจ้างที่ริเริ่มสนับสนุนการทํางานเป็นทีมโดยใช้เงินรางวัลเป็นสิ่งจูงใจ
ตอบ 4 หน้า 13 ในปี ค.ศ. 1912 เฮ็นรี่ แอล. แกนต์ (Henry L. Gantt) เป็นวิศวกรหนุ่มที่ได้ คิดหาวิธีจูงใจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานของคนงาน โดยเขาได้ขยายแนวคิดของ เฟเดอริก ดับบลิว, เทย์เลอร์ (Federick W. Taylor) มาผสมผสานกับของตัวเอง เช่น สนับสนุนให้เกิดการทํางานเป็นทีม โดยทดลองเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานของคนงาน ด้วยการให้เงินโบนัสหรือเงินรางวัลพิเศษ เพื่อเป็นแรงจูงใจแก่คนงานที่สามารถทํางานเสร็จก่อนเวลาที่กําหนด
8 นายจ้างคนใดริเริ่มสวัสดิการการรักษาพยาบาลแก่คนงาน
ตอบ 3 หน้า 12 แอนดรู ยูรี (Andrew Ure) ได้เขียนบทความที่ให้ความสําคัญแก่ “มนุษย์” และเป็น ผู้ริเริ่มการให้สวัสดิการแก่คนงาน โดยเฉพาะในด้านสุขภาพและการรักษาพยาบาล ซึ่งเขาได้ เสนอให้ปรับปรุงการจัดสวัสดิการต่าง ๆ ดังนี้
1 จัดให้มีชั่วโมงพักระหว่างการทํางาน
2 ปรับสถานที่ทํางานให้ถูกสุขลักษณะ
3 เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย คนงานต้องได้รับการดูแลรักษาพยาบาล และได้รับค่าจ้างระหว่างหยุดพักรักษาตัวด้วย
4 ส่งเสริมให้คนงานมีสุขภาพดี โดยจัดสนามและอุปกรณ์การออกกําลังกายแก่คนงาน
9 นายจ้างคนใดได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งการบริหารงานบุคคล
ตอบ 1 หน้า 11 – 12, (คําบรรยาย) โรเบิร์ต โอเวน (Robert Owen) เป็นเจ้าของกิจการชาวเวลส์ คนแรกตามประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมของอังกฤษที่มีความคิดริเริ่มในการเอาใจใส่ความเป็นอยู่ ของคนงาน โดยยอมรับว่าต้องให้ความสําคัญกับจิตใจและความต้องการของลูกจ้างคนงาน ซึ่งเขาได้พยายามปรับปรุงสวัสดิการต่าง ๆ ของลูกจ้าง เช่น ปรับปรุงสถานที่ทํางานและสิ่งแวดล้อม ให้สะอาด ปรับปรุงสภาพในการทํางานให้ดีกว่าที่เคยเป็นอยู่ และเป็นนายจ้างคนแรกที่ต่อต้าน การใช้แรงงานเด็ก ฯลฯ ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้จุดประกายและเริ่มต้นแนวคิดการสร้างสัมพันธภาพ ระหว่างลูกจ้างกับนายจ้างเป็นคนแรก จนได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการบริหารงานบุคคล
ข้อ 10. – 12. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) Communication
(2) Self Acceptance
(3) Trust
(4) Motivation
10 องค์ประกอบใดแสดงถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์
ตอบ 1 หน้า 17 การติดต่อสื่อสาร (Communication) มีความสําคัญอย่างยิ่งในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ จนมีผู้เปรียบว่าการติดต่อสื่อสารเป็นหัวใจของมนุษยสัมพันธ์ เพราะการสื่อสาร คือ สิ่งที่แสดงถึง ความสัมพันธ์ของมนุษย์ (Communication is the human connection) เป็นเครื่องมือที่ ทําให้เข้าใจตนเองและผู้อื่น เนื่องจากการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างตัวเรากับบุคคลอื่น ต้องกระทําผ่านการติดต่อสื่อสาร
11 การทําให้สมาชิกในสังคมมีทัศนคติตรงกัน ต้องอาศัยองค์ประกอบใด
ตอบ 4 หน้า 18, (คําบรรยาย) การจูงใจ (Motivation) ถือเป็นคุณสมบัติที่นักมนุษยสัมพันธ์จึงสร้าง ให้เกิดขึ้นกับ กับตนเอง เพราะมีส่วนสําคัญมากในการกระตุ้นให้แต่ละบุคคลมีความกระตือรือร้น และแสดงออกซึ่งพฤติกรรมต่าง ๆ นอกจากนี้การจูงใจยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน และมีผลต่อความสําเร็จขององค์กร ดังนั้นสมาชิกในสังคมจึงจําเป็นต้องสร้างแรงจูงใจซึ่งกันและกัน เพื่อกระตุ้นให้มีทัศนคติตรงกัน มีจุดมุ่งหมายร่วมกัน มีระเบียบ และมีความรับผิดชอบ
12 องค์ประกอบใดทําให้คู่สื่อสารกล้าแสดงออกตามความรู้สึกที่แท้จริง
ตอบ 3 หน้า 18, 217, (คําบรรยาย) ความไว้วางใจ (Trust) ถือเป็นพื้นฐานสําคัญในการสร้าง มนุษยสัมพันธ์ เพราะเป็นสิ่งที่ทําให้คู่สื่อสารมีความเชื่อใจกันและกล้าที่จะเปิดเผยตนเอง (Self Disclosure) ต่อกัน หรือกล้าแสดงออกซึ่งอารมณ์ ความรู้สึกที่แท้จริง และความคิดเห็น ต่าง ๆ อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งทําให้คู่สื่อสารแต่ละฝ่ายมีการแลกเปลี่ยนข่าวสารอย่างอิสรเสรี จนสามารถรับรู้และเข้าใจอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างถูกต้อง เช่น ความรู้สึกเชื่อมั่นและไว้วางใจกัน ในขณะเล่นตุ๊กตาล้มลุก เป็นต้น
13 ข้อใดไม่ใช่ลักษณะตามธรรมชาติของมนุษย์
(1) มีความอิจฉาริษยา
(2) ชอบการเปลี่ยนแปลง
(3) ชอบการทําลายล้าง
(4) ชอบความสะดวกสบาย
ตอบ 2 หน้า 23 – 24 ลักษณะทั่วไปตามธรรมชาติของมนุษย์ที่คล้ายคลึงกัน มีดังนี้
1 อิจฉาริษยา ไม่ชอบเห็นคนอื่นดีกว่าตน
2 มีสัญชาตญาณแห่งการทําลายล้าง
3 ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง
4 มีความต้องการทางเพศ
5 หวาดกลัวภัยอันตรายต่าง ๆ
6 กลัวความเจ็บปวด
7 โหดร้าย ชอบซ้ำเติม
8 ชอบความสะดวกสบาย มักง่าย ไม่ชอบระเบียบและการถูกบังคับ
9 ชอบความตื่นเต้น ชอบการผจญภัย ฯลฯ
14 แนวคิดท่านใดที่เชื่อว่าธรรมชาติของมนุษย์ย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่ในตนเอง
(1) ขงจื๊อ
(2) มาสโลว์
(3) โทมัส ฮอบส์
(4) ท่านพุทธทาสภิกขุ
ตอบ 4 หน้า 26 – 27 ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับธรรมชาติของคนหรือมนุษย์ ซึ่งเป็น แนวคิดทางด้านพุทธศาสนาไว้ว่า มนุษย์ทุกคนมีทั้งข้อดีและข้อด้อยอยู่ในตนเอง ดังคติเตือนใจ ของท่านที่ว่า “เขามีส่วนเลวบ้าง ช่างหัวเขา จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่ เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย จะหาคน มีดี โดยส่วนเดียว อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเลย ฝึกให้เคย มองแต่ดี ให้คุณจริง”
15 ตามแนวคิดของเม่งจื้อ ข้อใดคือคุณลักษณะที่แสดงว่ามนุษย์มีทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์
(1) ความอ่อนน้อมถ่อมตน
(2) ความเมตตากรุณา
(3) ความละอายต่อบาป
(4) ความสามารถในการแยกแยะ
ตอบ 1 หน้า 26, (คําบรรยาย) เม่งจื้อ เชื่อว่า ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนมีความดีติดตัวมาโดยกําเนิด ซึ่งได้แก่
1 มีความรู้สึกเมตตากรุณา หมายถึง ความมีมนุษยธรรม
2 มีความรู้สึกละอายและรังเกียจต่อบาป หมายถึง การยึดมั่นในหลักศีลธรรมความดีงาม
3 มีความรู้สึกอ่อนน้อมถ่อมตน หมายถึง การปฏิบัติตนอันเหมาะสม ซึ่งถือเป็นคุณลักษณะ ที่แสดงถึงการมีทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์อยู่ในตนเอง
4 มีความรู้สึกในสิ่งที่ถูกและผิด หมายถึง ความมีสติปัญญารู้จักแยกแยะผิดถูก ไม่เห็นกงจักร เป็นดอกบัว
ข้อ 16 – 17 ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) กลุ่มปัญญานิยม
(2) กลุ่มพฤติกรรมนิยม
(3) กลุ่มมนุษยนิยม
(4) กลุ่มจิตวิเคราะห์
16 ธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดของเก้าอื้อ สอดคล้องกับนักจิตวิทยากลุ่มใด
ตอบ 2 หน้า 26, 28, (คําบรรยาย) เก้าอื้อ มองว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นไม่ดีและไม่ชั่ว เปรียบเหมือนกับกระแสน้ำที่รวนเร (ไม่รู้จักทิศทาง) โดยถ้าเปิดทางทิศตะวันออกน้ำก็จะไหลไปทางทิศตะวันออก แต่ถ้าเปิดทางทิศตะวันตกน้ำก็จะไหลไปทางทิศตะวันตก ซึ่งจะสอดคล้องกับความเชื่อของนักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยมที่ว่า มนุษย์เกิดมาไม่ดีและไม่เลว เมื่อเกิดมาแล้วจะดีหรือไม่ดี ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม มนุษย์จึงเป็นผลิตผลของสิ่งแวดล้อม
17 นักจิตวิทยากลุ่มใดเชื่อว่าธรรมชาติของมนุษย์มีความเลวมาแต่กําเนิด
ตอบ 4 หน้า 29 กลุ่มจิตวิเคราะห์ ได้แก่ ฟรอยด์ (Freud) และฟรอม (Fromm) มีความเชื่อในเรื่อง ของจิตและพฤติกรรมภายใน โดยเชื่อว่าธรรมชาติของมนุษย์มีความเลวติดตัวมาแต่กําเนิดและ พฤติกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์เกิดมาจากสัญชาตญาณภายในของบุคคล ซึ่งประกอบด้วยจิต (จิตไร้สํานึก จิตใต้สํานึก และจิตในสํานึก) และแรงขับพื้นฐาน (แรงขับที่จะดํารงชีวิต แรงขับที่จะทําลาย และแรงขับทางเพศ) โดยเมื่อมนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมก็จะแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ออกมา
ข้อ 18. – 19. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) บุคคลย่อมมีความแตกต่าง
(3) พฤติกรรมของบุคคลต้องมีสาเหตุ
(2) การศึกษาบุคคลในลักษณะผลรวม
(4) ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
18 แนวคิดด้านสิทธิมนุษยชน สอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์ข้อใด
ตอบ 4 หน้า 2, 29 – 30, (คําบรรยาย) ธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดพื้นฐานในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ ประการหนึ่ง คือ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (Human Dignity) ซึ่งมนุษย์ควรติดต่อสัมพันธ์กัน ด้วยความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน โดยต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของแนวคิดด้านสิทธิมนุษยชน ขององค์การสหประชาชาติ ดังนั้นมนุษย์จึงควรเคารพในความเสมอภาคระหว่างบุคคล โดยไม่ แบ่งแยกฐานะชนชั้น แต่ควรยกย่องให้เกียรติและยอมรับนับถือในฐานะที่เป็นมนุษย์เหมือนกัน
19 การยอมรับตัวตนของบุคคลอื่น เป็นผลมาจากธรรมชาติของมนุษย์ข้อใด
ตอบ 1 หน้า 29, (คําบรรยาย) ธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดพื้นฐานในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ ประการหนึ่ง คือ บุคคลย่อมมีความแตกต่าง (Individual Difference) ซึ่งบุคคลแต่ละคน ล้วนมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว จึงไม่ควรพยายามเปลี่ยนแปลงคนอื่นให้ต้องคิดหรือทําทุกอย่าง เหมือนตนเอง แต่ควรยอมรับตัวตนของบุคคลอื่น รู้จักเคารพในความเป็นปัจเจกบุคคล หรือ ยอมรับธรรมชาติของแต่ละบุคคล (ทั้งของตนเองและผู้อื่น) โดยแนวคิดนี้จะสอดคล้องกับ ขงจื้อที่เน้นการยอมรับที่จะปรับเปลี่ยนแก้ไขตนเองดีกว่าไปปรับเปลี่ยนผู้อื่น
ข้อ 20 – 21 ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี X
(2) ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y
(3) ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Z
(4) ธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดด้านสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
20 นายจ้างควรให้รางวัลแก่บุคลากรที่มีพฤติกรรมการทํางานตามแนวคิดข้อใด
ตอบ 2 หน้า 30 – 31, (คําบรรยาย) ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y มีลักษณะทั่วไป คือ
1 การออกแรงกายและการใช้สมองในการทํางาน เป็นของธรรมดาเหมือนกับการเล่นหรือ การพักผ่อน ซึ่งจะทําให้มนุษย์มีทัศนคติที่ดี เกิดความรักในงาน พึงพอใจและมีความสุขในการทํางาน
2 บุคคลจะทํางานในหน้าที่ด้วยการสั่งงานและควบคุมตนเอง
3 ควรใช้แรงเสริมทางบวกเป็นสิ่งตอบแทนเพื่อจูงใจให้บุคคลทํางาน คือ การยกย่องชมเชย การให้รางวัลเพื่อเป็นกําลังใจกับผลสําเร็จของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้มีโอกาส แสดงผลงานและความสามารถในการทํางานตามที่เขาต้องการ ฯลฯ
21 แนวคิดใดเชื่อว่ามนุษย์มีเหตุผลของแต่ละบุคคลเป็นแรงจูงใจในการทํางาน
ตอบ 3 หน้า 31 ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Z ของเรดดิน เชื่อว่า มนุษย์มีความซับซ้อน แต่จะมีลักษณะทั่วไป คือ
1 ตั้งใจทํางานที่ตนรับผิดชอบเพื่อให้งานบรรลุเป้าหมาย
2 มีสติปัญญา มีวุฒิภาวะ และมีเหตุผลของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นแรงจูงใจในการทํางาน
3 ยอมรับพฤติกรรมความดีและไม่ดี อันเกิดจากการกระทําของตนเอง สถานการณ์ และสิ่งแวดล้อม
4 มนุษย์ต้องติดต่อเกี่ยวข้องและพึ่งพาอาศัยกัน โดยได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อม
ข้อ 22 – 24 ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) Wants
(2) Survival Needs
(3) Primary Needs
(4) Secondary Needs.
22 การใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย เป็นผลมาจากความต้องการข้อใด
ตอบ 1
หน้า 34, (คําบรรยาย) ความปรารถนา (Wants) เป็นความต้องการที่ไม่ใช่ความจําเป็นขั้นต้น สําหรับมนุษย์ เพราะเป็นสิ่งที่เราต้องการจะมี แต่ถ้าไม่มีก็ไม่ตาย จึงเป็นสิ่งที่ทําให้มนุษย์เกิด กิเลสตัณหา และใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย เช่น ซื้อรถยนต์ เสื้อผ้าสวย ๆ หรือบ้านสวย ๆ ฯลฯ แต่ความปรารถนาก็เป็นแรงจูงใจสําคัญที่ทําให้บุคคลทํางาน และอาจจะทํางานหนักกว่าคนอื่นเพราะความปรารถนาในสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นหากมนุษย์ใช้ชีวิตตามแนวคิดความพอเพียง ก็จะช่วยลดความต้องการขั้นนี้ได้
23 การสร้างมนุษยสัมพันธ์ แสดงถึงความต้องการของมนุษย์ข้อใด
ตอบ 4 หน้า 34 – 35, 41, (คําบรรยาย) ความต้องการด้านจิตวิทยาหรือสังคม (Psychological or Social Needs) หรือความต้องการขั้นรอง (Secondary Needs) เป็นความต้องการทางด้าน จิตและวิญญาณ ซึ่งเกิดขึ้นจากการพัฒนาทางด้านจิตใจจนถึงวุฒิภาวะระดับหนึ่ง เช่น ต้องการ ชื่อเสียงเกียรติยศ, ต้องการการยอมรับจากสังคม, ต้องการสร้างมนุษยสัมพันธ์เพื่อให้อยู่ร่วมกับ บุคคลอื่นในสังคมได้อย่างราบรื่น ฯลฯ
24 แรงจูงใจที่ทําให้บุคคลทํางานเพื่อความอยู่รอด เป็นผลมาจากความต้องการข้อใด
ตอบ 2 หน้า 34 การอยู่รอด (Survival Needs) เป็นแรงจูงใจสําคัญอันหนึ่งที่ทําให้บุคคลทํางาน ซึ่งการอยู่รอดมิใช่ความปรารถนาของมนุษย์ แต่เป็นพฤติกรรมที่ทําเพื่อความอยู่รอดของชีวิต เช่น เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ข้าวยากหมากแพง โดยแท้จริงแล้วบุคคลบางคนไม่ได้ต้องการปลูกผัก และพืชสวนครัว แต่เนื่องจากว่าเงินที่หามาได้จากการทํางานอย่างอื่นไม่เพียงพอที่จะหาซื้อ ก็เลยต้องทําเพื่อการอยู่รอด เพราะถ้าไม่ทําก็อาจไม่มีจะกิน
25 ข้อใดเป็นลักษณะของ Seconday Needs
(1) เกิดจากประสบการณ์ของบุคคล
(2) มีลักษณะที่ชัดเจน
(3) มีการแสดงออกอย่างเปิดเผย
(4) ตอบสนองทางด้านร่างกาย
ตอบ 1 หน้า 35, (ดูคําอธิบายข้อ 23. ประกอบ) ลักษณะของความต้องการขั้นรอง (Secondary Needs) สรุปได้ดังนี้
1 มักเกิดจากประสบการณ์ของแต่ละบุคคล
2 แต่ละบุคคลจะมีความต้องการและความเข้มข้นไม่เท่ากัน
3 เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ แม้แต่ในบุคคลคนเดียวกัน
4 มักเกิดขึ้นเมื่อบุคคลอยู่ในกลุ่มสังคมมากกว่าอยู่คนเดียว
5 บุคคลมักไม่แสดงออกอย่างเปิดเผยและซ่อนเร้นความต้องการในขั้นนี้ไว้
6 บางครั้งมีลักษณะเป็นนามธรรมและไม่ชัดเจน ไม่เหมือนความต้องการด้านร่างกาย
7 มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์
ข้อ 26. – 28. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) Esteem and Status Needs
(2) Belonging and Social Activity Needs
(3) Safety and Security Needs
(4) Physiological Needs
26 ความต้องการทางวัตถุในหลักศาสนาพุทธ สอดคล้องกับความต้องการข้อใด
ตอบ 4 หน้า 34 – 35, 38 ความต้องการทางด้านสรีระหรือร่างกาย (Physiological Needs) หรือ บางทีเรียกว่า ความต้องการขั้นต้น (Primary Needs) เป็นความต้องการที่จําเป็นขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการทางกายหรือทางวัตถุตามแนวคิดของศาสนาพุทธ คือ ความต้องการปัจจัยสี่ของมนุษย์ อันได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค นอกจากนั้นความต้องการในขั้นนี้ยังรวมถึงความต้องการทางเพศเพื่อการดํารงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์สืบต่อไป การขับถ่าย และการนอนหลับพักผ่อนเพื่อบรรเทาความเหน็ดเหนื่อยด้วย
27 การเคารพกฎหมายของบุคคล เป็นพฤติกรรมที่ตอบสนองความต้องการข้อใด
ตอบ 2 หน้า 38 – 39, (คําบรรยาย) ความต้องการความรักและร่วมกิจกรรมในสังคม (Belonging and Social Activity Needs) คือ ความต้องการแสดงตัวและมีส่วนร่วมในกิจกรรมของสังคม โดยจะเกิดขึ้นในลักษณะของการยอมปฏิบัติตนตามกรอบกติกามารยาทของสังคม หรือการมี พฤติกรรมตามที่สังคมกําหนด ได้แก่ การเคารพและปฏิบัติตามกฎหมาย จารีตประเพณี และ ค่านิยม เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมและให้สังคมยอมรับเข้าเป็นสมาชิกหรือเป็นหมู่เป็นพวก เดียวกัน ซึ่งจะก่อให้เกิดความภาคภูมิใจและรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ทั้งนี้การสร้าง มนุษยสัมพันธ์ของบุคคลก็เป็นการตอบสนองความต้องการในลําดับขั้นนี้
28 การทําประกันภัยรถยนต์ เป็นพฤติกรรมที่ตอบสนองความต้องการข้อใด
ตอบ 3 หน้า 38, (คําบรรยาย) ความต้องการความปลอดภัยและความมั่นคง (Safety and Security Needs) ในด้านต่าง ๆ มีดังนี้
1 ด้านอาชีพการงาน ได้แก่ นโยบายการปรับเงินเดือนผู้ที่จบปริญญาตรีเป็น 15,000 บาท นโยบายปรับเงินเดือนข้าราชการเท่าเอกชน ฯลฯ
2 ด้านร่างกาย โดยไม่ถูกทําร้ายหรือถูกคุกคาม ได้แก่ การทําประกันชีวิต การรณรงค์เรื่อง โทรไม่ขับ เมาไม่ขับ การให้ความคุ้มครองประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ฯลฯ
3 ด้านที่อยู่อาศัย ได้แก่ โครงการฝากบ้านไว้กับตํารวจ โครงการหอพักติดดาว/เพื่อนบ้าน เตือนภัย การเตรียมกระสอบทรายเพื่อป้องกันน้ำท่วมบ้าน การติดตั้งกล้องวงจรปิด ฯลฯ
4 ด้านชีวิตความเป็นอยู่และทรัพย์สิน ได้แก่ การทําประกันภัยรถยนต์ นโยบายเพิ่มรายได้ ให้ประชาชน นโยบายแก้หนี้นอกระบบ นโยบายเรียนฟรี 15 ปี นโยบายประชานิยมของ พรรคการเมืองต่าง ๆ ฯลฯ
ข้อ 29 – 30. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) โครงสร้างแบบหลวม ๆ
(2) โครงสร้างที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสถานภาพ
(3) โครงสร้างแบบสังคมเกษตร
(4) โครงสร้างที่มีการแบ่งชนชั้น
29 ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับโครงสร้างสังคมไทยข้อใด
ตอบ 3 หน้า 47, (คําบรรยาย) โครงสร้างสังคมเกษตร คือ มีลักษณะการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่เคร่งครัดในเรื่องเวลาหรือไม่ให้ความสําคัญกับเวลาที่นัดหมาย ไม่เร่งรีบหรือมีพิธีรีตอง ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่หักหาญน้ําใจกัน และไม่ให้ความสําคัญกับวัตถุ โดยถือว่าไม่มีเงินก็อยู่ได้ ซึ่งจะสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจแบบพอเพียง
30 การ “ทําอะไรตามอําเภอใจ” เป็นผลมาจากโครงสร้างใดของสังคมไทย
ตอบ 1 หน้า 47, (คําบรรยาย) โครงสร้างแบบหลวม ๆ คือ บุคคลที่อยู่ในสังคมสามารถเลือกปฏิบัติ ในสิ่งที่ตนเองพอใจได้ โดยไม่ต้องเคร่งครัดในกฎระเบียบมากนัก ทําให้คนไทยมีความยืดหยุ่นสูง ไม่ยึดอะไรเป็นกฎเกณฑ์ตายตัว และชอบประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งมีข้อดีคือ สามารถปรับตัว และอยู่ร่วมกันอย่างประนีประนอม รอมชอม อะลุ้มอล่วยต่อกัน แต่ข้อเสียคือ ขาดระเบียบวินัย ในการดําเนินชีวิต ไม่เคารพกฎกติกา และมักทําอะไรตามอําเภอใจ เช่น ทําอะไรตามใจคือไทยแท้ ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน ฯลฯ
ข้อ 31. – 33. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) นับถือศาสนาพุทธ
(2) ชอบยศศักดิ์
(3) กตัญญู
(4) เคารพผู้อาวุโส
31 คําพังเพยที่ว่า “ตักน้ำจากบ่อ อย่าลืมคนขุดบ่อ” สอดคล้องกับค่านิยมใดของสังคมไทย
ตอบ 3 หน้า 48 – 49, (คําบรรยาย) ค่านิยมของสังคมไทยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันมีอยู่มากมาย ได้แก่
1 นับถือศาสนาพุทธ คือ ยึดถือหลักคําสอนของพระพุทธเจ้า เชื่อในบาปบุญคุณโทษ และยอมรับ ในกฎแห่งกรรม เช่น ทําดีได้ดี ทําชั่วได้ชั่ว, คิดดี ทําดี, เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร, เวรกรรมมีจริง ฯลฯ
2 ชอบยศศักดิ์ คือ ชอบคนมียศและตําแหน่ง จึงนิยมให้ลูกหลานเข้ารับราชการ
3 เคารพผู้อาวุโส คือ การปฏิบัติต่อผู้อาวุโสในทางที่ดี เชื่อฟังคําสั่งสอน ยกย่องและให้เกียรติ ผู้อาวุโส เช่น การจัดงานมุทิตาจิตแก่ผู้เกษียณอายุ ฯลฯ
4 กตัญญู คือ ความเป็นผู้รู้คุณที่บุคคล สังคม หรือประเทศชาติได้ทําให้แก่ตน ดังสํานวนที่ว่า “ตักน้ำจากบ่อ อย่าลืมคนขุดบ่อ” ฯลฯ
32 คนไทยนิยมให้ลูกหลานรับราชการ เป็นผลมาจากค่านิยมใดของสังคมไทย
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 31 ประกอบ
33 คนไทยเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม เป็นผลมาจากค่านิยมใดของสังคมไทย
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 31 ประกอบ
34 ข้อใดไม่ใช่ลักษณะตามธรรมชาติของคนไทย
(1) ชอบเสี่ยงโชค
(2) ลืมง่าย
(3) กระตือรือร้น
(4) ชอบความสนุกสนาน
ตอบ 3 หน้า 48 – 49, (คําบรรยาย) ลักษณะตามธรรมชาติของคนไทย สามารถพิจารณาได้จาก ค่านิยมของสังคมไทย เช่น คนไทยส่วนใหญ่มักชอบเสี่ยงโชค ลืมง่าย ขาดความกระตือรือร้น ขาดระเบียบวินัย ไม่อดทน แต่จะมีความเมตตา และชอบความสนุกสนาน ซึ่งในด้านทัศนะ ทางการเมืองพบว่า คนไทยส่วนใหญ่จะยึดถือในตัวของบุคคลมากกว่าอุดมการณ์ นอกจากนี้ คนไทยไม่ชอบเห็นใครดีกว่าตน
35 คนไทยชอบยุ่งเรื่องคนอื่น เป็นพฤติกรรมที่สอดคล้องกับหลักพรหมวิหารสี่ข้อใด
(1) เมตตา
(2) กรุณา
(3) มุทิตา
(4) อุเบกขา
ตอบ 4 หน้า 23 – 24, 49, (คําบรรยาย) ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กล่าวถึงธรรมชาติของคนไทยที่สอดคล้องกับหลักพรหมวิหารสี่ว่า คนไทยมีความเมตตา คือ มีความรักและเอ็นดู ปรารถนาจะให้ผู้อื่นเป็นสุข และมีความกรุณา คือ มีความสงสารหวั่นไหว หรือเอาใจช่วยเหลือเมื่อเห็น ผู้อื่นได้รับความทุกข์ แต่ขาดมุทิตา คือ ขาดความมีจิตยินดีในลาภ ยศ สรรเสริญของผู้อื่น หรือ มีความอิจฉาริษยา ไม่ชอบเห็นใครดีกว่าตนเอง และขาดอุเบกขา คือ ขาดความมีใจเป็นกลาง ขาดความวางเฉย เพราะคนไทยหากไม่ยินดีก็ยินร้ายในเรื่องของคนอื่น
ข้อ 36 – 37. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) To Know
(2) To Understand
(3) To Accept
(4) To Develop
36 เป้าหมายในการศึกษาตนเองตามแนวคิดมนุษยสัมพันธ์ คือข้อใด
ตอบ 4 หน้า 53 – 54, 78, (คําบรรยาย) การศึกษาตนเองตามแนวคิดด้านมนุษยสัมพันธ์ แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนตามลําดับ ดังนี้
1 การรู้จักตนเอง (To Know) คือ การสํารวจตัวเองในด้านต่าง ๆ ว่าเป็นอย่างไร
2 การเข้าใจตนเอง (To Understand) คือ การวิเคราะห์ตนเองเพื่อหาสาเหตุว่าทําไมเราจึงมี ลักษณะเช่นนั้น ซึ่งจะนําไปสู่ขั้นตอนการยอมรับตนเอง
3 การยอมรับตนเอง (To Accept) คือ การยอมรับหรือรับรู้ศักยภาพและข้อดีข้อด้อยของตนเอง ซึ่งเมื่อยอมรับได้แล้วก็จะนําไปสู่ขั้นตอนการพัฒนาตนเอง
4 การพัฒนาตนเอง (To Develop) คือ การแก้ไขปรับปรุงจุดด้อย จุดอ่อน และข้อบกพร่อง ของตัวเอง ซึ่งถือเป็นเป้าหมายและประโยชน์ของการศึกษาตนเอง
37 การรู้จักวิเคราะห์ตนเอง แสดงถึงขั้นตอนใดในการศึกษาตนเอง
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 36 ประกอบ
ข้อ 38 – 39. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) การรู้ตนเอง
(2) การยอมรับตนเอง
(3) การรู้จักตนเอง
(4) การเปิดเผยตนเอง
38 ปฏิกิริยาป้อนกลับจากคู่สื่อสาร นําไปสู่ Self Concept ข้อใด
ตอบ 1 หน้า 17, 53 – 54 แนวคิดเกี่ยวกับตนเอง (Self Concept) ประการหนึ่ง ได้แก่ การรู้ตนเอง (Self Awareness) คือ การรู้ตนเองว่าเป็นใคร มีลักษณะอย่างไร ซึ่งเป็นแนวคิดที่เกิดจาก ประสบการณ์ และการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือการได้รับปฏิกิริยาป้อนกลับจากคู่สื่อสาร แต่มี ข้อควรระวัง คือ ไม่ควรมองตนเองสูงหรือต่ํากว่าความเป็นจริง เพราะจะมีผลต่อประสิทธิภาพ ของการสื่อสาร ออกสู่การติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น ดังนั้นแนวคิดเกี่ยวกับตนเองและการรู้ตนเองนี้จึงเป็นพื้นฐานในการเปิดตนเอง
39 บุคคลที่เชื่อในการตัดสินใจของตนเอง เป็นผลมาจาก Self Concept ข้อใด
ตอบ 3 หน้า 54 – 55, (คําบรรยาย) แนวคิดเกี่ยวกับตนเอง (Self Concept) ประการหนึ่ง ได้แก่ การรู้จักตนเอง (Self Actualization) จะมีลักษณะสําคัญ 3 ประการ ดังนี้
1 เต็มใจที่จะยืนหยัดอยู่ด้วยตนเอง
2 ไว้วางใจตนเองหรือเชื่อมั่นในตนเอง คือ เชื่อในการตัดสินใจของตนเอง
3 เป็นคนที่มีความยืดหยุ่นและพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง เมื่อพบว่าการตัดสินใจของตนเป็นสิ่งที่ผิด
ข้อ 40 – 41.ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) Labeling
(2) Social Comparison
(3) Interpersonal Relationships
(4) Significant Others
40 แนวคิดใดที่แสดงว่าความรู้สึกของบุคคลที่ใกล้ชิด สามารถกําหนดพฤติกรรมของตนได้
ตอบ 4 หน้า 60 การยอมรับของบุคคลที่มีความสําคัญต่อเรา (Significant Others) คือ การเรียนรู้ตนเอง จากการยอมรับหรือไม่ยอมรับของบุคคลที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับตนเอง เช่น พ่อ แม่ พี่น้อง ฯลฯ ซึ่งมีความสําคัญมาก เพราะการที่เราให้ความสําคัญกับบุคคลที่ใกล้ชิด จะทําให้เรามีความรู้สึก พึงพอใจหรือเจ็บปวดมากหากได้รับปฏิกิริยาโต้ตอบจากบุคคลใกล้ชิดเหล่านี้ ดังนั้นการกระทํา ต่าง ๆ ของบุคคลใกล้ชิดจึงสามารถกําหนดพฤติกรรมของเราได้
41 การใส่เสื้อผ้าสีดําเมื่อไปงานศพ เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้เกี่ยวกับตนเองข้อใด
ตอบ 1 หน้า 59, (คําบรรยาย) การกําหนดของสังคม (Labeling) คือ การปฏิบัติตัวและมีพฤติกรรม ตามบรรทัดฐานของสังคม ได้แก่ กฎหมาย กฎเกณฑ์ กติกามารยาทต่าง ๆ รวมทั้งขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี ค่านิยมของสังคม ฯลฯ โดยกําหนดตัวเองจากการกระทําของเราว่าเข้ากับ ข้อกําหนดของสังคมในรูปแบบใด ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ดังนี้
1 สิ่งที่สังคมไม่ยอมรับ เช่น การคดโกง ความก้าวร้าว การทุจริตคอร์รัปชั่น ฯลฯ
2 สิ่งที่สังคมยอมรับ เช่น การเคารพกฎหมาย การแต่งกายที่สุภาพเหมาะกับกาลเทศะ การประพฤติตนเป็นคนดีของสังคม ฯลฯ
ข้อ 42 – 43. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) Inferior
(2) Superior
(3) Equal
(4) Introvert
42 ความมั่นใจในศักยภาพของตนเอง นําไปสู่การยอมรับตนเองข้อใด
ตอบ 2 หน้า 60, (คําบรรยาย) Superior คือ การยอมรับว่าตนเองดีกว่าผู้อื่น ซึ่งจะทําให้มีความมั่นใจ ในตนเองสูง และมีคุณค่าของตนเองสูงกว่าผู้อื่นด้วย เพราะเชื่อว่าตนเองเก่งกว่า มีสถานภาพ สูงกว่า และมีศักยภาพหรือมีความรู้ความสามารถเหนือกว่า ดังนั้นจึงมักชอบดูหมิ่นและ วางอ้านาจเหนือคู่สื่อสาร รวมทั้งชอบออกคําสั่งให้ผู้อื่นเชื่อฟังและปฏิบัติตามอย่างไม่มีเงื่อนไขหรือไม่มีข้อโต้แย้ง
43 คู่สื่อสารที่แสดงออกได้อย่างอิสระ เป็นผลมาจากการยอมรับตนเองข้อใด
ตอบ 3 หน้า 60, (คําบรรยาย) Equal คือ การมีความคิดและยอมรับตามหลักการด้านสิทธิมนุษยชนว่า เราเท่าเทียมหรือเสมอภาคเท่ากับผู้อื่น โดยจะมีความเป็นเพื่อนกัน มีความคล้ายคลึงหรือมีอะไร ที่ใกล้เคียงกัน ทําให้มีความสบายใจในการแสดงออก กล้าพูดแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งส่งผลให้ คู่สื่อสารสามารถเปิดเผยตนเอง สามารถสื่อสารและแสดงออกตามความรู้สึกที่แท้จริงได้อย่างอิสระ จึงเป็นการยอมรับตนเองของคู่สื่อสารที่นําไปสู่สัมพันธภาพที่ดี และสามารถสร้างมนุษยสัมพันธ์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การพูดคุยอย่างสนิทสนมในหมู่เพื่อนฝูง เป็นต้น
ข้อ 44. – 45 ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) ศึกษาและประเมินตนเอง
(2) ยอมรับและตระหนักในความต้องการที่จะปรับปรุงตนเอง
(3) มีแรงจูงใจในการปรับปรุงตนเอง
(4) วางแผนในการปรับปรุงตนเอง
44 การมีเป้าหมายที่จะปรับปรุงตนเองทีละลักษณะ เป็นขั้นตอนใดของการพัฒนาตนเอง
ตอบ 4 หน้า 64 การวางแผนในการปรับปรุงตนเอง คือ การตั้งเป้าหมายก่อนว่าจะปรับปรุงอะไร อย่างไร โดยมีหลักสําคัญในการปรับปรุงบุคลิกภาพ ดังนี้
1 ปรับปรุงลักษณะที่บกพร่องที่ละลักษณะ
2 ปรับปรุงอย่างต่อเนื่องและสม่ําเสมอ
3 วางแผนในการปรับปรุงตนเอง
45 บุคคลที่ทํางานอย่างตั้งใจและมีความรับผิดชอบ เป็นผลมาจากขั้นตอนใดของการพัฒนาตนเอง
ตอบ 3 หน้า 64, (คําบรรยาย) มีแรงจูงใจในการปรับปรุงตนเอง ถือเป็นการตอบสนองความต้องการ ส่วนบุคคลของตนเอง ดังนี้
1 ความต้องการมีบุคลิกภาพที่ดีและเป็นที่ดึงดูดใจของเพศตรงข้าม ทําให้บุคคลต้องการปรับปรุง ตนเองในระดับสูง เช่น การดูแลรูปร่างผิวพรรณให้มีเสน่ห์ ฯลฯ
2 ความต้องการเป็นที่ชื่นชมหรือได้รับการยกย่องจากสังคม คือ ต้องการให้เป็นที่รัก ที่ชื่นชม
และเป็นที่ยอมรับของคนในสังคม
3 ความต้องการความมั่นคงปลอดภัยในอาชีพและสังคม ทําให้บุคคลต้องปรับปรุงตนเองด้าน การแต่งกาย กิริยามารยาท ความขยัน ความตั้งใจ และมีความรับผิดชอบในการทํางาน
4 ความต้องการอํานาจ เพื่อให้มีสง่าราศี น่าเชื่อถือ และน่ายําเกรง
46 ข้อใดเป็นแนวคิดที่ไม่ถูกต้องในการสนทนา
(1) พูดคุยเรื่องที่ผู้ฟังสนใจ
(2) พูดคุยเรื่องส่วนตัวของผู้ฟังเพื่อสร้างความสนิทสนม
(3) พูดคุยเรื่องสนุกสนานเพื่อสร้างบรรยากาศที่ดี
(4) ไม่อธิบายรายละเอียดของแต่ละเรื่องมากเกินไป
ตอบ 2 หน้า 66 – 68 แนวทางการพัฒนาตนเองในด้านการพูดหรือสนทนา มีดังนี้
1 พูดจาด้วยถ้อยคํา สุภาพ
2 มีน้ำเสียงนุ่มนวล
3 ฝึกการใช้คําถามให้เหมาะสม
4 พูดในเรื่องที่ผู้ฟังชอบ พอใจและสนใจ ไม่ควรพูดในสิ่งที่ตนเองถนัด ชอบและสนใจ
5 เลือกส่วนดีเด่นของคู่สนทนามาพูด
6 รู้จักวิจารณ์เชิงสร้างสรรค์
7 ใช้ศิลปะในการสนทนา เช่น ไม่อธิบายรายละเอียดของแต่ละเรื่องมากเกินไป, ไม่ควรขัดคอ หรือโต้แย้งความคิดของคู่สนทนาทันที, หลีกเลี่ยงการพูดเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น, รู้จักสรรหา เรื่องที่สนุกสนานมาพูดคุยกันในวงสนทนา, ให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการสนทนา ฯลฯ
47 ข้อใดเป็นคําถามที่ควรใช้ในการสนทนา
(1) อ้าว ทําไมเพิ่งมาคะ เขาเปิดงานไปแล้ว
(2) แล้วคู่นี้เมื่อไหร่จะแต่งคะ เห็นควงกันมาหลายปีแล้ว
(3) โชคดีจังเลย ได้ทํางานที่นี่ เขาสตาร์ทเงินเดือนเท่าไหร่คะ
(4) แหม ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สบายดีนะคะ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 46 ประกอบ
48 พะแพงเป็นคนมองโลกในแง่ดีและไม่ยึดกฎเกณฑ์มากเกินไป เป็นผลมาจากการพัฒนาตนเองข้อใด
(1) ฝึกเป็นคนอารมณ์ดีและเบิกบาน
(2) ฝึกการเอาชนะตนเอง
(3) ฝึกการให้อภัยผู้อื่น
(4) ฝึกการให้ความรักผู้อื่น
ตอบ 1 หน้า 71 ฝึกเป็นคนอารมณ์ดีและเบิกบาน คือ การลดความโกรธและความไม่พอใจให้น้อยลงโดยการฝึกมองโลกในแง่ดี มีความหวังดี มีความพึงพอใจผู้อื่น ไม่เคร่งเครียดหรือยึดกฎเกณฑ์ มากเกินไป หมั่นคบคนที่มีอารมณ์ดี อารมณ์ขัน และฝึกให้พอใจกับสภาพที่ตนเองเป็นอยู่
49 การขจัดความคิดที่ว่าคนอื่นมักจะทําสิ่งเลวร้ายให้เราเสียหาย จะนําไปสู่การพัฒนาตนเองข้อใด
(1) ฝึกความอดทนอดกลั้นและเข้าใจผู้อื่น
(3) ฝึกการให้ความรักผู้อื่น
(2) ฝึกการสร้างความประทับใจแก่ผู้อื่น
(4) ฝึกจัดการกับความโกรธและความเกลียด
ตอบ 4 หน้า 70 ข้อเสนอแนะเพื่อฝึกจัดการกับความโกรธและความเกลียด มีดังนี้
1 ขจัดความเชื่อหรือความคิดที่ว่าคนอื่นมักจะทําสิ่งเลวร้ายให้เราเสียหาย
2 ยอมรับว่าตนเองโกรธ
3 พยายามถ่วงเวลาก่อนตัดสินใจในขณะที่มีอารมณ์โกรธ
4 พยายามตรวจสอบข้อเท็จจริง
5 ปรับความเข้าใจกัน ฯลฯ
50 มิวสิกรู้จักมองเห็นคุณค่าของตนเอง เป็นผลมาจากการพัฒนาตนเองข้อใด
(1) ฝึกการเอาชนะตนเอง
(2) ฝึกให้รักตนเองตามสภาพที่เป็นอยู่
(3) ฝึกเปลี่ยนแปลงตนเองดีกว่าเปลี่ยนแปลงผู้อื่น
(4) ฝึกให้มีความมั่นใจในตนเอง
ตอบ 2 หน้า 69, (คําบรรยาย) ฝึกให้รักตนเองตามสภาพที่เป็นอยู่ คือ การฝึกให้รู้จักรักตนเอง รู้จัก ให้คุณค่า รู้จักพึงพอใจในตนเองและสภาพที่ตนเองเป็นอยู่ ดังคํากล่าวที่ว่า “จงพอใจในสิ่งที่ตนเอง มีอยู่เป็นอยู่” โดยพยายามพัฒนาตนให้มีคุณค่ายิ่งขึ้น แล้วจะทําให้เรารู้จักรักและพอใจผู้อื่น ชื่นชมยินดี และเห็นคุณค่าผู้อื่นได้ นอกจากนี้ยังต้องรู้จักให้คุณค่าแก่ตนเองด้วยการมองภาพพจน์ ของตนเองในเชิงบวก ซึ่งจะส่งผลให้บุคคลเกิดความรักและภาคภูมิใจในตนเองมากขึ้น
51 การยอมรับว่าความผิดพลาดเกิดขึ้นได้กับทุกคน นําไปสู่การพัฒนาตนเองข้อใด
(1) ฝึกการให้ความรักผู้อื่น
(2) ฝึกเป็นคนอารมณ์ดีและเบิกบาน
(3) ฝึกการให้อภัยผู้อื่น
(4) ฝึกใช้อํานาจเหนือผู้อื่นให้น้อยลง
ตอบ 3 หน้า 73 ฝึกการให้อภัยผู้อื่นและตนเอง คือ การไม่ลงโทษผู้อื่นและตนเองเมื่อกระทําผิดพลาด เพราะการไม่ให้อภัยผู้อื่นและตนเองย่อมทําให้เกิดความทุกข์ทรมานใจ ดังนั้นบุคคลจึงควรพิจารณา ตนเองว่าการกระทําของตนเองเหมาะสมและถูกต้องหรือไม่ และเมื่อกระทําอะไรลงไปแล้ว ผู้อื่นพอใจหรือไม่ ทั้งนี้เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นแล้วก็ควรยอมรับสภาพที่เกิดขึ้นและพยายามลืม โดยถือว่าความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้กับมนุษย์ทุกคน
52 คนที่ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย แสดงถึงการขาดการพัฒนาตนเองข้อใด
(1) ฝึกการเอาชนะตนเอง
(2) ฝึกการตั้งเป้าหมายในชีวิต
(3) ฝึกการแสดงออกที่เหมาะสม
(4) ฝึกมิให้เป็นคนเก็บตัว
ตอบ 1 หน้า 69 – 70 ฝึกการเอาชนะตนเอง คือ ความสามารถในการควบคุมตนเองในเรื่องของอารมณ์ และความอยาก เนื่องจากปกติแล้วคนเรามักชอบตามใจตนเอง เจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจ โลภมาก และสุรุ่ยสุร่าย ซึ่งในทางจิตวิทยาถือว่าการเอาชนะตนเองจะทําให้บุคคลกลายเป็นคนที่มีเหตุผล มากขึ้น เพราะเป็นการควบคุมพฤติกรรมการแสดงออกของตนเองให้ทําสิ่งต่าง ๆ ไปตามเป้าหมาย ในทางที่ถูกต้อง ดีงาม และเหมาะสม
53 การทําความรู้จักคุ้นเคยกับบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตประจําวัน เป็นผลมาจากการพัฒนาตนเองข้อใด
(1) ฝึกให้มีความมั่นใจในตนเอง
(2) ฝึกการให้ความรักผู้อื่น
(3) ฝึกการสร้างความประทับใจ
(4) ฝึกมิให้เป็นคนเก็บตัว
ตอบ 4 หน้า 72 ฝึกมิให้เป็นคนเก็บตัวมากเกินไป คือ การเปิดโอกาสให้ตัวเองเข้าสังคมมากขึ้น พบปะเพื่อนฝูงเพื่อเข้าร่วมสังสรรค์ในงานพิธีต่าง ๆ และการพยายามทําความคุ้นเคยกับ บุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตประจําวัน
54 การศึกษาบุคคลเพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์ต้องอาศัยแนวคิดใด
(1) ความต้องการของบุคคล
(2) ความแตกต่างของบุคคล
(3) ความเสมอภาคของบุคคล
(4) ความคล้ายคลึงของบุคคล
ตอบ 2 หน้า 78, (คําบรรยาย) เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์สําคัญในการศึกษาบุคคลอื่นตามแนวคิด ด้านมนุษยสัมพันธ์ คือ การยอมรับตัวตนตามลักษณะที่เป็นจริงหรือตามธรรมชาติของบุคคลอื่น โดยต้องตั้งอยู่บนแนวคิดพื้นฐานสําคัญที่ว่ามนุษย์มีความแตกต่างกัน ซึ่งเมื่อเรายอมรับในเรื่องความแตกต่างของบุคคลได้แล้ว ก็จะทําให้การสร้างความสัมพันธ์นั้นดีและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งยังทําให้ตัวเราปรับตัวเข้ากับบุคคลนั้น ๆ ได้อีกด้วย
ข้อ 55 – 56. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) ทัศนคติ
(2) ความเชื่อ
(3) ค่านิยม
(4) การรับรู้
55 คนไทยเคารพผู้อาวุโส เป็นพฤติกรรมที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางจิตวิทยาข้อใด
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 31. ประกอบ
56 ผลสํารวจจากโพลต่าง ๆ แสดงถึงสภาพแวดล้อมทางจิตวิทยาข้อใด
ตอบ 1 หน้า 43, 79 – 81, (คําบรรยาย) ทัศนคติ (Attitude) เป็นท่าทีหรือความรู้สึกที่แตกต่างกัน ของแต่ละบุคคล ซึ่งแสดงออกต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งในทางบวกหรือลบ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย พอใจหรือไม่พอใจ ชอบหรือไม่ชอบ ฯลฯ จึงเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ไม่มีการประเมินว่าถูกหรือผิด ซึ่งเมื่อเรามีทัศนคติในทิศทางใดก็จะมีพฤติกรรมการแสดงออกที่สอดคล้องกับทิศทางนั้น เช่น ผลสํารวจความคิดเห็นของประชาชนจากโพลต่าง ๆ เป็นต้น
57 การพิจารณาเจตนารมณ์ของการกระทํา แสดงถึงแนวคิดการศึกษาบุคคลข้อใด
(1) ทฤษฎีหน้าต่างโจฮารี่
(2) วิธีธรรมชาติ
(3) ทฤษฎีบุคลิกภาพ
(4) ทฤษฎีการวิเคราะห์การติดต่อสัมพันธ์
ตอบ 2 หน้า 82 – 83 บารอน (Baron) และบรายน์ (Bryne) ได้เสนอการศึกษาบุคคลด้วยวิธีธรรมชาติ ซึ่งหมายถึง วิธีการสังเกตพฤติกรรมภายนอกโดยทั่ว ๆ ไป อันได้แก่
1 พิจารณาใบหน้าของบุคคล คือ การสังเกตดูว่ามีการแสดงออกทางสีหน้าอย่างไร
2 สังเกตแววตาหรือดวงตา ดังคํากล่าวที่ว่า “ดวงตา คือ หน้าต่างของหัวใจ”
3 สังเกตกิริยาท่าทาง การพูดจา และบุคลิกภาพโดยรวม
4 พิจารณาเจตนารมณ์ในการกระทําของบุคคล
ข้อ 58 – 62. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) Open Area
(2) Blind Area
(3) Hidden Area
(4) Unknown Area
58 การแสดงพฤติกรรมกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริง แสดงถึงพฤติกรรมข้อใด
ตอบ 3 หน้า 84 บริเวณซ่อนเร้น (Hidden Area) หมายถึง บริเวณที่เป็นพฤติกรรมลึกลับ หรือเป็นความรู้สึกนึกคิดหรือความลับบางอย่างที่บุคคลเก็บกดซ่อนไว้ในใจ ไม่เปิดเผยหรือไม่แสดงออกให้ผู้อื่นรู้ แต่ตนเองเท่านั้นที่จะรู้ ซึ่งพฤติกรรมนี้มักจะเป็นพฤติกรรมภายในของบุคคล เช่น ความจํา ความเชื่อ ทัศนคติ ฯลฯ ทั้งนี้บุคคลจะไม่แสดงพฤติกรรมดังกล่าวออกไปเพราะต้องการ ปิดบัง และอาจแสดงพฤติกรรมอย่างอื่นกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริง เช่น บางคนอาจจะมี ความรู้สึกหมั่นไส้ อิจฉา และไม่พอใจผู้อื่น แต่ก็เสแสร้งยิ้มและพูดโกหกแสดงความยินดี ฯลฯ
59 การสื่อสารระหว่างบุคคลแบบเผชิญหน้า นําไปสู่พฤติกรรมข้อใด
ตอบ 1 หน้า 83 – 85, (คําบรรยาย) บริเวณเปิดเผย (Open Area) หมายถึง บริเวณพฤติกรรม ภายนอกที่บุคคลตั้งใจหรือเจตนาแสดงออกอย่างเปิดเผย ส่วนมากจะเกิดขึ้นในการสื่อสารระหว่างบุคคลแบบเผชิญหน้า ซึ่งจะทําให้คู่สื่อสารสามารถรับรู้พฤติกรรมและเจตนาของ แต่ละฝ่ายได้ ทั้งนี้เมื่อคู่สื่อสารเริ่มรู้จักหรือยังไม่คุ้นเคยกัน บริเวณเปิดเผยจะลดลงเพราะ ยังสงวนท่าทีกันอยู่ แต่หากคู่สื่อสารมีความสนิทสนมคุ้นเคยและจริงใจต่อกัน บริเวณเปิดเผย ก็จะเปิดกว้างมากขึ้น โดยพฤติกรรมส่วนนี้จะเป็นประโยชน์และมีความจําเป็นต่อการสร้าง มนุษยสัมพันธ์ เพราะทําให้คู่สื่อสารมีปฏิกิริยาโต้ตอบต่อกัน มีการเปิดเผยตนเอง และจริงใจ ต่อกันมากขึ้น ดังคํากล่าวที่ว่า “มองตาก็รู้ใจ”
60 พฤติกรรมข้อใดจะเกิดขึ้นต้องมีเหตุการณ์บางอย่างมากระตุ้น
ตอบ 4 หน้า 84, (คําบรรยาย) บริเวณมืดมน (Unknown Area) หมายถึง บริเวณพฤติกรรมลึกลับ หรือความรู้สึกฝังลึกบางอย่างที่บุคคลแสดงออกโดยไม่รู้ตัว ซึ่งตนเองและบุคคลอื่นก็ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเข้าใจมาก่อน จึงเป็นพฤติกรรมที่ทําให้บุคคลไม่รู้จักตนเองมากที่สุด และคนอื่นก็ไม่รู้จัก ตัวเราด้วย เพราะอาจจะเป็นทักษะความสามารถพิเศษ หรือพรสวรรค์ในด้านต่าง ๆ ที่คาดไม่ถึง และยังค้นไม่พบ จนกว่าจะเกิดเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่คับขันบางอย่างมากระตุ้นให้เกิด พฤติกรรมนี้ เช่น พรสวรรค์ทางด้านดนตรี ศิลปะ กีฬา ฯลฯ
61 บุคคลที่โง่เขลาจะมีพฤติกรรมข้อใดมากที่สุด
ตอบ 4 หน้า 83, 87 บุคคลประเภทโง่เขลา คือ บุคคลที่รับฟังข้อวิจารณ์น้อย และไม่รู้จักวิจารณ์ผู้อื่น (ฟังน้อยและพูดน้อย) จะมีพฤติกรรมบริเวณมืดมน (Unknown Area) หรืออวิชชามากที่สุด แต่จะมีพฤติกรรมบริเวณเปิดเผย (Open Area) น้อยที่สุด
62 บุคคลที่ให้ข้อติชมมาก และรับข้อติชมน้อย จะมีพฤติกรรมข้อใดมากที่สุด
ตอบ 2 หน้า 87, (คําบรรยาย) บุคคลที่ให้ข้อติชมมาก แต่รับข้อติชมจากผู้อื่นน้อย (พูดมากกว่าฟัง) คือ บุคคลที่ไม่ยอมรับฟังคําวิจารณ์ของผู้อื่น แต่ชอบพูดวิจารณ์ผู้อื่นมากกว่า (ชอบประเมินคนอื่น โดยไม่สนใจที่จะประเมินตนเอง) จะมีพฤติกรรมบริเวณจุดบอด (Blind Area) มากที่สุด แต่จะ มีพฤติกรรมบริเวณซ่อนเร้น (Hidden Area) น้อยที่สุด
ข้อ 63. – 68. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) พฤติกรรมแบบพ่อแม่
(2) พฤติกรรมแบบผู้ใหญ่
(3) พฤติกรรมแบบเด็ก
(4) พฤติกรรมที่เป็นพิธีการ
63 บุคคลที่สนใจแต่ความสุขของตนเอง เป็นผลมาจากพฤติกรรมข้อใด
ตอบ 3 หน้า 89 – 90, (คําบรรยาย) พฤติกรรมแบบเด็ก (Child Ego State : C) มักแสดงออกใน ลักษณะที่มีจินตนาการสร้างสรรค์ มีอารมณ์สุนทรีย์หรืออารมณ์ศิลปิน สดชื่น มีชีวิตชีวา และกล้าหาญ ซึ่งจะทําให้โลกนี้มีสิ่งแปลกใหม่ มีสิ่งประดิษฐ์ที่งดงามแปลกตา มีนักเขียน นักกลอน มีผลงานด้านศิลปะต่าง ๆ และทําให้โลกมีชีวิตชีวาด้วยเสียงเพลง เสียงดนตรี เสียงหัวเราะ การแสดงท่าขบขัน ฯลฯ นอกจากนี้ก็ยังมีพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความดื้อรั้น สนใจแต่ความสุข ของตนเอง เอาแต่ใจ ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ไม่ควบคุมตนเอง แต่คําพูดที่แสดงออกนั้น จะเปิดเผย อิสระ และตรงไปตรงมา
64 การพูดจาในลักษณะดุด่าว่ากล่าวบุคคลอื่น แสดงถึงพฤติกรรมข้อใด
ตอบ 1 หน้า 89 – 90, (คําบรรยาย) พฤติกรรมแบบพ่อแม่ (Parent Ego State : P) จะแสดงออก ในลักษณะของพฤติกรรมทางบวก เช่น ความรักใคร่ อบรมสั่งสอน ห่วงใย หวังดี ให้กําลังใจ ปลอบประโลม ฯลฯ แต่ในขณะเดียวกันก็จะมีลักษณะของพฤติกรรมทางลบด้วย เช่น เกรี้ยวกราด ดุด่าว่ากล่าว ใช้อํานาจสั่งการเหนือผู้อื่น ตําหนิติเตียน ประชดประชัน เยาะเย้ย เจ้ากี้เจ้าการ ชอบควบคุมพฤติกรรมของผู้อื่น ฯลฯ นอกจากนี้ยังรวมถึงการยึดถือระเบียบแบบแผน จารีตประเพณี และเชื่อถือคติโบราณ จึงมักทําให้มีบุคลิกภาพแบบหัวโบราณ ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงของ สังคม แต่จะมีความเมตตากรุณา
65 บุคคลที่แสดงออกโดยยึดเหตุผลและข้อเท็จจริง แสดงถึงพฤติกรรมข้อใด
ตอบ 2 หน้า 89 – 90 พฤติกรรมแบบผู้ใหญ่ (Adult Ego State : A) เป็นพฤติกรรมที่แสดงออก ในลักษณะตรงไปตรงมา มีเหตุผล ยึดข้อเท็จจริง ไม่ใช้อารมณ์หรือความคิดเห็นส่วนตัว ซึ่งเมื่อ พูดถึงสิ่งใดก็จะใช้ข้อเท็จจริงและเหตุผลเป็นเครื่องตัดสิน ดังนั้นจึงมักเปรียบเทียบบุคลิกภาพแบบนี้ว่ามีลักษณะคล้ายหุ่นยนต์ ไม่มีความรู้สึกส่วนตัว เห็นทุกสิ่งเป็นไปตามผลกรรม
66 ผู้บริหารที่ชอบให้ลูกน้องยกย่องให้เกียรติ แสดงถึงพฤติกรรมข้อใด
ตอบ 1 หน้า 89, 91 – 92 ผู้บริหารที่มีพฤติกรรมแบบพ่อแม่ (Parent Ego State : P) จะมีลักษณะดังนี้
1 ถือว่าลูกน้องเหมือนลูกหลานที่จะอบรมสั่งสอนได้
2 เอาใจใส่ดูแลการทํางานของลูกน้อง อย่างใกล้ชิด
3 เป็นกันเอง มีอารมณ์ขัน
4 เห็นอกเห็นใจ เป็นห่วงลูกน้อง และ มักจะให้ความช่วยเหลือ
5 ร่วมคิด ร่วมปรึกษากับลูกน้องที่มีพฤติกรรมแบบเด็กเท่านั้น
6 ถือว่างานต้องมาก่อนความสนุกสนานบันเทิง
7 ต้องการให้ลูกน้องยกย่องให้เกียรติ
8 มักชอบใช้อํานาจเหนือลูกน้องจนกลายเป็นเผด็จการ
67 การรู้จัก “ไปลามาไหว้” แสดงถึงพฤติกรรมข้อใด
ตอบ 4 หน้า 93, (คําบรรยาย) พฤติกรรมที่เป็นพิธีการ คือ การกระทําเพื่อมารยาท หรือการกระทํา ตามกฎเกณฑ์ของสังคม เช่น การรู้จักไปลามาไหว้ การจับมือ การทักทายปราศรัยหรือกล่าว คําว่า “สวัสดี” เมื่อเจอกัน การกล่าวต้อนรับ การเลี้ยงต้อนรับ การจัดงานเลี้ยงผู้เกษียณอายุ การปรบมือให้กําลังใจผู้พูด การกล่าวอวยพรเมื่อไปร่วมงานวันเกิดหรืองานเทศกาลปีใหม่ การรดน้ําขอพรจากผู้ใหญ่ในวันสงกรานต์ และการจัดงานในเทศกาลสําคัญ ๆ ฯลฯ
68 จินตนาการของบุคคล แสดงถึงพฤติกรรมข้อใด
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 63 ประกอบ
ข้อ 69 – 70. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) I’m not OK., You’re OK.
(2) I’m OK., You’re not OK.
(3) I’m not OK., You’re not OK.
(4) I’m OK., You’re OK.
69 บุคคลที่ไม่รู้จักรักใครแม้แต่ตัวเอง เป็นผลมาจากการรับรู้ข้อใด
ตอบ 3 หน้า 93 – 94, (คําบรรยาย) ฉันเลวคุณก็เลวด้วย (I’m not OK, You’re not OK. เป็นทัศนคตกแต่งเทเห็นว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ผู้อื่นก็ไม่มีคุณค่า ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่รู้จักรักใคร แม้แต่ตัวเอง มองโลกในแง่ร้าย หมดหวังในชีวิต ไม่มีจุดหมายในชีวิต จึงจัดอยู่ในประเภทผู้ป่วย โรคประสาทหรือโรคจิต
70 บุคคลที่ชอบยกตนข่มท่าน เป็นผลมาจากการรับรู้ข้อใด
ตอบ 2 หน้า 93, (คําบรรยาย) ฉันดีแต่คุณเลว (I’m OK., You’re not OK.) เป็นทัศนคติที่แสดง ให้เห็นว่าบุคคลประเมินตนเองว่าดี มีคุณค่า แต่มองคนอื่นว่าเลว ไม่มีคุณค่า จึงเป็นคนที่ชอบ ตําหนิผู้อื่น ชอบโทษผู้อื่น และชอบยกตนข่มท่าน เช่น นักการเมืองฝ่ายค้านตําหนินโยบายของ รัฐบาลว่าสู้ของตนไม่ได้ เป็นต้น
71 ตามแนวคิดของเชลดัน บุคคลที่ชอบอยู่ตามลําพังจะมีรูปร่างอย่างไร
(1) ผอม
(2) อ้วน
(3) ล่ำสัน
(4) สมส่วน
ตอบ 1 หน้า 95 เชลตัน (Sheldon) ได้จัดแบ่งบุคลิกภาพออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1 รูปร่างอ้วน (Endomorphy) มักชอบสนุกสนานร่าเริง และโกรธง่ายหายเร็ว ฯลฯ
2 รูปร่างล่ำสัน (Mesomorphy) แข็งแรง มีร่างกายสมส่วน เป็นคนคล่องแคล่วว่องไว มีน้ำใจเป็นนักกีฬา มีเพื่อนมาก และชอบช่วยเหลือผู้อื่น ฯลฯ
3 รูปร่างผอม (Ectomorphy) มักเคร่งขรึม เอาการเอางาน ใจน้อย ชอบวิตกกังวล ไม่ชอบการต่อสู้ และชอบอยู่ตามลําพัง ฯลฯ
72 ตามแนวคิดของจุง บุคลิกภาพแบบ Extrovert จะมีลักษณะอย่างไร
(1) ปรับตัวเก่ง
(2) ยึดตัวเองเป็นใหญ่
(3) ขี้อาย
(4) สังคมเก่ง
ตอบ 4 หน้า 95, (คําบรรยาย) คาร์ล จี. จุง (Cart G. Jung) ได้แบ่งบุคลิกภาพออกเป็น 3 ประเภท คือ
1 ชอบเก็บตัว (Introvert) เป็นพวกเชื่อมั่นในตนเอง ยึดตัวเองเป็นใหญ่ ขี้อาย เก็บความรู้สึก ชอบอยู่ตามลําพัง ปรับตัวยาก เห็นแก่ตัว ฯลฯ
2 ชอบแสดงตัว (Extrovert) เป็นพวกไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอน เปิดเผย เข้าสังคมเก่ง อารมณ์ดี ชอบทํากิจกรรม ฯลฯ
3 ประเภทกลาง ๆ (Ambivert) เป็นพวกไม่เก็บตัวหรือแสดงตัวมากเกินไป ปรับตัวเก่งหรือ ปรับตัวได้ตามสถานการณ์ และมักจะมีนิสัยเรียนรู้การอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข จึงเป็นบุคลิกภาพที่แสดงถึงทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
ข้อ 73 – 76. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) เต่า
(2) ตุ๊กตาหมี
(3) ฉลาม
(4) นกฮูก
73 สัญลักษณ์ใดแสดงถึงบุคลิกภาพของผู้บริหารที่ชอบใช้อํานาจกับลูกน้อง
ตอบ 3 หน้า 96 – 97 ผู้บริหารประเภทชอบใช้อํานาจ (Authoritarian Manager) จะมีสัญลักษณ์เป็น “ฉลาม” คือ เป็นบุคคลที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว ดุร้าย ชอบใช้อํานาจเหนือลูกน้องในการแก้ปัญหา โดยไม่คํานึงถึงความรู้สึกของคนอื่น เน้นความต้องการของตนเอง และมักจะแก้ปัญหาด้วยการ กล้าเผชิญหน้า กล้าที่จะฟาดฟันเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง และช่วงชิงผลประโยชน์ของ ผู้อื่น จึงมักนําไปสู่การต่อสู้และทําร้าย
74 สัญลักษณ์ใดแสดงถึงบุคลิกภาพของผู้บริหารที่รู้จักควบคุมอารมณ์และรับฟังลูกน้อง
ตอบ 4 หน้า 97, (คําบรรยาย) ผู้บริหารประเภทใจเย็น (Team Manager) จะมีสัญลักษณ์เป็น “นกฮูก” คือ เป็นบุคคลที่พยายามศึกษาความต้องการของตนเองและผู้อื่น แล้วแก้ปัญหาความขัดแย้ง ด้วยการควบคุมอารมณ์ รับฟังลูกน้องด้วยความเข้าใจ พูดจาไพเราะ และแสดงความคิดเห็น เพื่อแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหาหลาย ๆ ทาง จึงถือว่าเป็นผู้บริหารที่มีบุคลิกภาพและ แนวคิดด้านมนุษยสัมพันธ์ในการทํางาน ทําให้สามารถสร้างมนุษยสัมพันธ์กับลูกน้องได้ดีที่สุด
75. สัญลักษณ์ใดแสดงถึงบุคลิกภาพของผู้บริหารที่ชอบโยนความผิดให้ลูกน้อง
ตอบ 1 หน้า 96 ผู้บริหารประเภทไม่เอาไหน (Impoverished Manager) จะมีสัญลักษณ์เป็น “เต่า” เพราะไม่กล้าเผชิญปัญหา และเมื่อมีความผิดเกิดขึ้นก็มักจะโทษผู้อื่นหรือโยนความผิดให้ลูกน้อง ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ยอมตามผู้อื่นด้วยความขุ่นเคืองใจ มองผู้อื่นในแง่ร้าย โดยจะ บริหารงานแบบสบาย ๆ ไม่สนใจลูกน้องและงาน ชอบอยู่เฉย ๆ ใครจะทําอะไรก็ทําไป และ เมื่อเกิดความผิดพลาดจะไม่รับผิดชอบไม่ว่ากรณีใด
76 สัญลักษณ์ใดแสดงถึงผู้บริหารที่สนใจคนมากกว่าสนใจงาน
ตอบ 2 หน้า 96 ผู้บริหารประเภทย่อมตาม (Country Club Manager) จะมีสัญลักษณ์เป็น “ตุ๊กตาหมี” คือ เป็นบุคคลที่ยอมผู้อื่นอย่างไม่มีเงื่อนไข ให้ความร่วมมือด้วยความเต็มใจโดยไม่ปริปากบ่น ทั้งต่อหน้าและลับหลัง มีความเสียสละ มักยอมให้คนอื่นทําสิ่งต่าง ๆ ก่อนเสมอ มองคนในแง่ดี สนใจคนมากกว่างาน เอาอกเอาใจและกลัวลูกน้อง ชอบสร้างบารมีให้ลูกน้องรัก เพราะขาด ความสามารถในการทํางาน โดยมักมีวิธีแก้ปัญหาความขัดแย้ง คือ ยอมตามใจลูกน้องเสมอ
ข้อ 77 – 79 ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) การรับรู้ทางสังคมโดยความรู้สึกประทับใจ
(2) การรับรู้ทางสังคมโดยการประเมินบุคคลอื่น
(3) อิทธิพลทางสังคม
(4) ความสัมพันธ์ทางสังคม
77 การคล้อยตามผู้อื่น เป็นพฤติกรรมตามแนวคิดจิตวิทยาสังคมข้อใด
ตอบ 3 หน้า 131 – 132, (คําบรรยาย) อิทธิพลทางสังคม จะเน้นพฤติกรรมของบุคคลที่เปลี่ยนไป ในทางที่ดีขึ้นหรือเลวลง เนื่องจากการกระทําของบุคคลอื่น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1 การส่งเสริมโดยสังคม (Social Facilitation) ได้แก่ การอยู่ในสายตาของผู้อื่นจะทําให้ การทํางานมีประสิทธิภาพดีขึ้น
2 การคล้อยตามผู้อื่น หรือการถูกโน้มน้าวใจให้คล้อยตาม ได้แก่ การคล้อยตามบุคคลที่ เราเชื่อถือหรือสนิทสนม การคล้อยตามบรรทัดฐาน และการคล้อยตามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
78 ความใกล้ชิดทางกายภาพของคู่สื่อสาร นําไปสู่พฤติกรรมตามแนวคิดจิตวิทยาสังคมข้อใด
ตอบ 4หน้า 133, (คําบรรยาย) ปัจจัยที่ก่อให้เกิดแรงดึงดูดใจทางสังคมของคู่สื่อสาร จนนําไปสู่ แนวคิดความสัมพันธ์ทางสังคม มีอยู่ 3 ประการ ดังนี้
1 ความใกล้ชิดทางกายภาพของคู่สื่อสาร คือ ความใกล้ชิดกันทางด้านสถานที่ เช่น ในห้องเรียน หรือเพื่อนร่วมงานในที่ทํางานเดียวกัน
2 ทัศนคติที่คล้ายคลึงกัน คือ มีความสนใจร่วมกัน หรือมีทัศนคติหลาย ๆ อย่างตรงกันมาก่อน
3 รูปร่างหน้าตา หรือบุคลิกภาพที่ดี นับเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลมากขึ้นในปัจจุบัน
79 ประสบการณ์ครั้งแรกของคู่สื่อสาร นําไปสู่พฤติกรรมตามแนวคิดจิตวิทยาสังคมข้อใด
ตอบ 1 หน้า 127 – 129, 155, (คําบรรยาย) การรับรู้ทางสังคมโดยความรู้สึกประทับใจ มักเกิดจาก ปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
1 ความประทับใจครั้งแรก ประสบการณ์ครั้งแรก หรือปรากฏการณ์ครั้งแรกของคู่สื่อสาร คือ การรับรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบบุคคลที่เราพบเห็นเป็นครั้งแรก
2 ปรากฏการณ์ภายนอก คือ บุคลิกภาพภายนอกของบุคคล ได้แก่ รูปร่างหน้าตา
3 การสื่อสารเชิงอวัจนะหรือพฤติกรรมการแสดงออกทางอวัจนภาษา (ภาษากาย) คือ การสื่อสารกันโดยไม่ต้องใช้คําพูด เช่น สีหน้า สายตา ท่าทางและการสัมผัส น้ำเสียง ฯลฯ
ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม ข้อ 80. – 82.
(1) การสร้างความประทับใจ
(2) การทําให้คนอื่นรักใคร่
(3) การป้องกันตนเอง
(4) การลดความขัดแย้งของคู่สื่อสาร
80 การรู้จักยกย่องบุคคลอื่น นําไปสู่แนวคิดข้อใด
ตอบ 2 หน้า 136 วิธีการทําให้คนอื่นรักใคร่ มีดังนี้
1 การรู้จักยกย่องบุคคลอื่น
2 การคล้อยตามความคิดเห็นและพฤติกรรม
3 การแนะนําตนเอง
4 การแสดงความชอบตอบ
81 การหาทางออกเพื่อลดความวิตกกังวลในตนเอง แสดงถึงแนวคิดข้อใด
ตอบ 3 หน้า 137, 141 การป้องกันตนเอง (Self Defence) หมายถึง พฤติกรรมที่มนุษย์พยายาม หาทางออกเพื่อลดความวิตกกังวลในตนเอง และหาทางกลบเกลื่อนความผิดหวังเสียใจด้วยวิธีการต่าง ๆ ซึ่งพฤติกรรมการป้องกันตนเองส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวหรือไม่ตั้งใจ และมักจะเกิดในลักษณะปกติธรรมดาเพื่อทําให้เรารู้สึกดีขึ้นเท่านั้น
82 การสร้างภาพลักษณ์ของตนเองตามความคาดหวังของคู่สื่อสาร แสดงถึงแนวคิดข้อใด
ตอบ 1 หน้า 134 หลักของการสร้างความประทับใจ คือ การพยายามสร้างภาพลักษณ์ของตนเอง
ตามความนึกคิดหรือตามความคาดหวังของคู่สื่อสารหรือผู้ที่เรามีปฏิสัมพันธ์ด้วย โดยคนเรา จะแสดงพฤติกรรมที่คล้ายกับผู้ที่เราปฏิสัมพันธ์หรืออาจมีพฤติกรรมคล้ายกับสิ่งที่เราคิดว่าบุคคลอื่นคาดหวังให้เรามีพฤติกรรมเช่นนั้น
ข้อ 83 – 85. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) อ้างความด้อยของตนเอง
(2) อ้างชื่อเสียงของกลุ่ม
(3) การสวมบทบาทตามคุณลักษณะที่ไม่พึงประสงค์
(4) การสวมบทบาทตามเพศ
83 แม่พลอยจากนวนิยายเรื่องสี่แผ่นดิน นับเป็นแบบอย่างของสตรีไทย กรณีนี้แสดงถึงพฤติกรรมที่สอดคล้องกับแนวคิดข้อใด
ตอบ 4 หน้า 135 การสวมบทบาทตามเพศตามความคาดหวังของผู้อื่น เช่น ถ้าบุคคลอื่นคาดหวังให้ เพศหญิงต้องอ่อนหวานนุ่มนวลเหมือนกับ “แม่พลอย” จากนวนิยายเรื่องสี่แผ่นดิน นางสาว ก ย่อมทําตนให้อ่อนหวาน ละมุนละไม จึงจะเป็นที่ยอมรับของสังคมได้ เป็นต้น
84 นักการเมืองที่ให้สัมภาษณ์ว่าที่ไม่ได้รับเลือกตั้งเพราะคู่แข่งซื้อเสียง กรณีนี้แสดงถึงพฤติกรรมที่สอดคล้องกับแนวคิดข้อใด
ตอบ 1 หน้า 135 อ้างความด้อยของตนเอง คือ คนเราเมื่อประสบความล้มเหลวและต้องการการ ยอมรับจากผู้อื่น มักอ้างเหตุของความล้มเหลวว่าเกิดจากสิ่งแวดล้อมมิใช่การกระทําของตนโดยยกความด้อยอันมิได้เกิดจากความสามารถของตนเป็นข้ออ้าง เช่น นักการเมืองที่ให้ สัมภาษณ์ว่าที่ไม่ได้รับเลือกตั้งเพราะคู่แข่งซื้อเสียง เป็นต้น
85 ชาวไทยภาคภูมิใจกับนักเรียนไทยที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกวิชาการ กรณีนี้แสดงถึงพฤติกรรมที่สอดคล้องกับแนวคิดข้อใด
ตอบ 2 หน้า 135 อ้างชื่อเสียงของกลุ่ม คือ การทําให้ผู้อื่นยอมรับตนเองโดยบุคคลอาจอ้างชื่อเสียง ของกลุ่มที่ตนเป็นสมาชิกอยู่ และเป็นกลุ่มที่ประสบความสําเร็จ เช่น อ้างกลุ่มโรงเรียน มหาวิทยาลัย ภูมิลําเนา เชื้อชาติไทย ฯลฯ เพื่อทําให้ผู้อื่นยอมรับตนเองหรือเพื่อให้เป็นที่ยอมรับในสังคม และเพื่อเป็นการสร้างความประทับใจ
ข้อ 86 – 89. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) การเก็บกด
(2) การทดเทิด
(3) การกล่าวโทษสิ่งอื่น
(4) การกลบเกลื่อน
86 พฤติกรรมแบบ “หน้าเนื้อใจเสือ” สอดคล้องกับการป้องกันตนเองข้อใด
ตอบ 4 หน้า 137 – 138, (คําบรรยาย) ปฏิกิริยากลบเกลื่อน (Reaction-Formation) คือ กลไกที่แสดง ปฏิกิริยาหรือพฤติกรรมตรงข้ามกับความรู้สึกที่แท้จริง เพื่อให้ตัวเองสบายใจขึ้นและเพื่อป้องกัน
ความรู้สึกผิด หรือการที่บุคคลมีความคิดเห็นที่เป็นอันตรายหรือไม่เป็นที่ปรารถนาต่อบุคคลอื่น ซึ่งเป็นลักษณะการแสดงออกแบบ “หน้าเนื้อใจเสือ” หรือ “ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ เช่น อยู่ต่อหน้าเพื่อนบ้านคุยด้วยกันอย่างมีมิตรภาพ แต่ลับหลังกลับมีพฤติกรรมจ้องทําลาย
87 การพยายามลืมเหตุการณ์ที่ทําให้ตนสะเทือนใจ เป็นวิธีการป้องกันตนเองข้อใด
ตอบ 1 หน้า 137 การเก็บกด (Repression) คือ กลไกที่บุคคลพยายามจะขจัดความคับข้องใจที่ไม่มีทางแก้ไขได้ หรือสภาพการณ์ที่ทําให้เขาไม่ได้รับการยอมรับ สภาพการณ์ที่ทําให้เขาสะเทือนใจ ไม่สบายใจ เสียใจ หรือทรมานใจ โดยเขาจะพยายามลืมเหตุการณ์หรือเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ หากการเก็บกดเพิ่มปริมาณมากขึ้นก็จะทําให้บุคคลนั้นลืมเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างสนิท จนไม่สามารถจะระลึกได้ เช่น หญิงที่ถูกข่มขืนจะจํารายละเอียดของเรื่องราวไม่ได้ เป็นต้น
88 บุคคลที่เปลี่ยนความก้าวร้าวเป็นความสามารถในด้านกีฬาเพื่อหวังให้สังคมยอมรับ กรณีนี้เป็นการป้องกัน
ตนเองข้อใด
ตอบ 2 หน้า 139 – 140, (คําบรรยาย) การทดเทิด (Sublimation) คือ กลไกเปลี่ยนความปรารถนา ที่ตนชอบแต่สังคมไม่ยอมรับ มาเป็นความปรารถนาที่ตนชอบและสังคมยอมรับ โดยการแสดง
พฤติกรรมที่ดีแทนพฤติกรรมที่สังคมไม่ยอมรับ เช่น การเปลี่ยนแรงขับทางเพศให้เป็นผลงาน ด้านศิลปะหรือฝึกเป็นนักเขียน การเปลี่ยนความก้าวร้าวให้เป็นพลังทางด้านกีฬา ฯลฯ
89 คําพังเพยที่ว่า “รําไม่ดีโทษปี่โทษกลอง” สอดคล้องกับวิธีการป้องกันตนเองข้อใด
ตอบ 3 หน้า 138, (คําบรรยาย) การกล่าวโทษบุคคลอื่นหรือสิ่งอื่น (Projection) คือ การกล่าว โยนความผิดให้กับคนอื่นหรือสิ่งอื่นเพื่อให้ตนเองพ้นผิด และสบายใจที่ไม่ต้องรับผิดชอบกับการกระทําของตน หรือเป็นกลวิธีที่บุคคลปัดความรับผิดชอบโดยการกล่าวโทษผู้อื่นและสังคม ในความผิดที่ตนเองเป็นผู้กระทํา เพื่อให้ความรู้สึกผิดของตนน้อยลง ซึ่งตรงกับสุภาษิตที่กล่าว ไว้ว่า “รําไม่ดีโทษปี่โทษกลอง”
90 ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของการสื่อสารระหว่างบุคคล
(1) เป็นการสื่อสารแบบสองทาง
(2) คู่สื่อสารมีการแสดงปฏิสัมพันธ์
(3) เป็นการสื่อสารที่ผ่านสื่อทั่วไป
(4) เป็นการสื่อสารแบบเผชิญหน้า
ตอบ 3 หน้า 148 – 149, (คําบรรยาย) ลักษณะของการสื่อสารระหว่างบุคคล (Interpersonal Communication) มีดังนี้
1 เป็นกระบวนการแลกเปลี่ยนข่าวสารระหว่างคู่สื่อสารอย่างน้อย 2 คน หรือเป็นการสื่อสาร ระหว่างบุคคลในกลุ่มเล็ก ๆ ก็ได้
2 เป็นการสื่อสารแบบเผชิญหน้า (Face to Face Communication)
3 เป็นการสื่อสารแบบสองทาง (Two-way Communication) ที่คู่สื่อสารแสดงปฏิสัมพันธ์ หรือมีปฏิกิริยาป้อนกลับต่อกันได้
4 เป็นการสื่อสารแบบผ่านสื่อ (Interpose Communication) ที่รับ-ส่งข่าวสารได้ครั้งละ 2 คน หรือไม่เกินครั้งละ 2 คน เช่น การพูดคุยทางโทรศัพท์ ฯลฯ
ข้อ 91 – 92. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) เพื่อค้นพบตัวเอง
(2) เพื่อค้นพบโลกภายนอก
(3) เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมาย
(4) เพื่อการโน้มน้าวใจ
91 การสร้างมนุษยสัมพันธ์ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ข้อใดของการสื่อสารระหว่างบุคคล
ตอบ 3 หน้า 151 – 152, (คําบรรยาย) เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายให้เกิดขึ้น (Establishing Meaningful Relationships) คือ การสื่อสารระหว่างบุคคลสามารถนํามาใช้เป็นเครื่องประสาน ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสารได้อย่างดียิ่ง เนื่องจากมนุษย์มีความต้องการที่จะรัก ผู้อื่นและได้รับความรักจากผู้อื่น จึงทําให้มนุษย์ต้องการสร้างความสัมพันธ์อันใกล้ชิดสนิทสนม ให้เกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นผลให้การสื่อสารระหว่างบุคคลสามารถนํามาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการสร้างมนุษยสัมพันธ์ได้เป็นอย่างดี
92 การสื่อสารระหว่างบุคคลทําให้คนเรารู้จักปรับตัวเข้ากับสังคม กรณีนี้แสดงถึงวัตถุประสงค์ข้อใด
ตอบ 1หน้า 151 เพื่อค้นพบตัวเอง (Personal Discovery) คือ การได้มีโอกาสสื่อสารกับบุคคลอื่น โดยเฉพาะการสื่อสารแบบเผชิญหน้า จะทําให้เราได้รู้จักตนเองด้วยการสังเกตจากปฏิกิริยา ป้อนกลับของผู้อื่น ซึ่งจะส่งผลให้ได้รู้ความคิดของตนเองว่าแตกต่างจากผู้อื่นในสังคมอย่างไร ดังนั้นการสื่อสารระหว่างบุคคลจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คนรู้จักการปรับตัวให้เข้ากับสังคมรวมทั้งได้พิจารณาข้อบกพร่องและข้อได้เปรียบของตน
93 ข้อใดแสดงถึง Verbal Communication
(1) ภาษาระยะทาง
(2) ภาษากาย
(3) ภาษาวัตถุ
(4) ภาษาพูด
ตอบ 4 หน้า 152 วัจนสาร (Verbal Communication) หมายถึง การสื่อสารโดยใช้สัญลักษณ์ที่เป็นถ้อยคํา เพื่อสื่อความหมายให้ผู้อื่นเข้าใจ ซึ่งในการสื่อสารระหว่างบุคคลนั้น วัจนสารจะหมายถึง คําพูด หรือภาษาพูดที่ใช้ในการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ และความเห็นต่าง ๆ ระหว่างคู่สื่อสาร
94 ข้อใดไม่ใช่แนวคิดที่ถูกต้องในการสื่อสารเชิงอวัจนะ
(1) การสื่อสารเชิงอวัจนะทําให้การสื่อสารชัดเจนขึ้น
(2) การสื่อสารเชิงอวัจนะสามารถแสดงออกได้อย่างกว้างขวาง
(3) การสื่อสารเชิงอวัจนะเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจของผู้ส่งสาร
(4) การสื่อสารเชิงอวัจนะแสดงถึงความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
ตอบ 3 หน้า 153 – 154 แนวคิดที่ถูกต้องของการสื่อสารเชิงอวัจนะหรือการใช้อวัจนสาร (Nonverbal Communication) มีดังนี้
1 แสดงถึงความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
2 มีแทรกอยู่ในทุกสถานการณ์ของการสื่อสารที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าพฤติกรรมนั้นจะแสดงโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
3 มีความครอบคลุมกว้างขวางแทบจะไม่มีขอบเขตจํากัด (ไร้ขอบเขต) ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางด้านน้ําเสียง ท่าทาง หรือสีหน้า
4 มีหน้าที่ในการสื่อสาร ทําให้การสื่อสารชัดเจนถูกต้องและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
5 อาจเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจหรือไม่รู้ตัว ทําให้ขาดการควบคุมและแสดงออกอย่างไม่มีประสิทธิภาพ
6 สามารถส่งผลกระทบและมีอิทธิพลต่อผู้รับสารมากกว่าวจนสารถึง 5 เท่า ฯลฯ
95 ข้อใดเป็นแนวคิดที่ไม่ถูกต้องในการสบตาของคู่สื่อสาร
(1) คู่สื่อสารที่เป็นเพศชายจะมีการสบตามากกว่าเพศหญิง
(2) ผู้ฟังจะสบตากับผู้พูดมากกว่าผู้พูดสบตากับผู้ฟัง
(3) การสบตาของคู่สื่อสารจะน้อยลงเมื่อสนทนาเรื่องส่วนตัว
(4) คู่สื่อสารที่เป็นมิตรจะสบตากันมากกว่าคู่สื่อสารที่เป็นปฏิปักษ์
ตอบ 1 หน้า 156 แนวคิดที่ถูกต้องในการประสานสายตาหรือการสบตา (Eye Contact) ของคู่สื่อสาร มีดังนี้ 1 ผู้ฟังจะประสานสายตากับผู้พูดมากกว่าผู้พูดประสานสายตากับผู้ฟัง
2 การประสานสายตาจะมีน้อยลงเมื่อสนทนาเรื่องส่วนตัว
3 เพศหญิงจะประสานสายตามากกว่าเพศชาย และในบางวัฒนธรรมจะห้ามการประสานสายตา เช่น เด็กจะไม่ค่อยกล้าจ้องหน้าประสานสายตากับผู้ใหญ่
4 คู่สนทนาที่เป็นมิตรจะประสานสายตากันมากกว่าคู่สนทนาที่เป็นศัตรูหรือเป็นปฏิปักษ์กัน
5 ผู้พูดควรประสานสายตากับผู้ฟังประมาณ 60 – 70% ของช่วงเวลาที่มีการสนทนากัน
ข้อ 96. – 98. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) ลักษณะดึงดูดใจของคู่สื่อสาร
(2) ความใกล้ชิดของคู่สื่อสาร
(3) ความคล้ายคลึงของคู่สื่อสาร
(4) การให้แรงเสริมแก่คู่สื่อสาร
96 บุคลากรที่ทํางานในองค์กรเดียวกัน ได้รับปัจจัยใดในการเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารระหว่างบุคคล
ตอบ 2 หน้า 158 – 160 ความใกล้ชิดของคู่สื่อสาร (Proximity) คือ มนุษย์มีธรรมชาติที่จะสื่อสาร กับคนที่ใกล้ชิด เมื่อใกล้ชิดสิ่งใดก็มักจะเอาความรู้สึกของตนเข้าไปผูกพัน และมีทัศนคติที่ดีกับคนที่ตนใกล้ชิดด้วย ซึ่งความใกล้ชิดมี 2 ประเภท ได้แก่
1 ความใกล้ชิดที่เกิดจากระยะทาง เช่น เรียนอยู่ในห้องเดียวกัน บ้านพักอาศัยใกล้กัน การทํางานในองค์กรเดียวกัน ฯลฯ
2 ความใกล้ชิดที่เกิดจากการมีโอกาสมีส่วนร่วมแสดงปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันบ่อยครั้ง เช่น
การทํากิจกรรมหรือทํางานร่วมกัน ฯลฯ
97 บุคลิกภาพภายนอกของบุคคล เป็นปัจจัยใดในการเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารระหว่างบุคคล
ตอบ 1 หน้า 158 – 159 ลักษณะดึงดูดใจของคู่สื่อสาร (Attractiveness) แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1 ลักษณะดึงดูดใจในรูปร่างหน้าตา คือ คนเรามักเลือกที่จะสื่อสารพูดคุยกับคนที่ตนเห็นว่า สวยงาม หน้าตาดี มากกว่าคนที่ขี้ริ้วขี้เหร่ ซึ่งเป็นการตัดสินกันเพียงแค่ภายนอก
2 ลักษณะดึงดูดใจในบุคลิกภาพ คือ คุณลักษณะรวมทั้งหมดที่ประกอบกันขึ้นเป็นบุคคลคนนั้น ซึ่งหมายความรวมทั้งบุคลิกภาพภายนอกและบุคลิกภาพภายใน โดยคนเราก็มักเลือกที่จะสื่อสารกับคนที่ตนเห็นว่ามีบุคลิกภาพที่มีเสน่ห์และน่าพอใจมากกว่าคนที่ตนไม่ชอบเช่นกัน
98 การรู้จักพูดจาไพเราะ เป็นปัจจัยใดในการเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารระหว่างบุคคล
ตอบ 4 หน้า 158, 160 การให้แรงเสริมแก่คู่สื่อสาร (Reinforcement) คือ คนเรามีแนวโน้มจะสื่อสาร กับคนที่ให้สิ่งที่ตนพอใจหรือคนที่ให้แรงเสริมแก่ตน โดยแรงเสริมนั้นอาจเป็นวัตถุสิ่งของหรือ ตัวเสริมแรงทางสังคม ได้แก่ การพูดจาไพเราะ การยกย่องชมเชย และการให้เกียรติกัน ซึ่งจะต้องมีลักษณะของความจริงใจ ไม่เสแสร้ง และไม่แอบแฝงผลประโยชน์ เช่น คนเรามักไม่อยาก สนทนากับเพื่อนที่ชอบขัดคอหรือโต้แย้ง แต่มักชอบพูดคุยกับเพื่อนที่ยินดีและแสดงความนับถือ ยกย่องในความสําเร็จของเรา เป็นต้น
ข้อ 99 – 100, ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) พฤติกรรมความซื่อสัตย์
(2) พฤติกรรมความเห็นอกเห็นใจ
(3) พฤติกรรมความเสมอภาค
(4) พฤติกรรมได้รับการสนับสนุน
99 คู่สื่อสารที่รู้จักให้เกียรติซึ่งกันและกัน แสดงถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของการสื่อสารระหว่างบุคคลข้อใด ตอบ 3 หน้า 162, (คําบรรยาย) พฤติกรรมความเสมอภาค (Equality) หมายถึง ผู้ส่งสารและผู้รับสาร ควรรู้จักให้เกียรติและยอมรับในความเสมอภาคซึ่งกันและกัน ไม่ดูหมิ่นหรือปฏิบัติต่ออีกฝ่ายในลักษณะที่ด้อยกว่าตน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ และ เป็นแนวทางหนึ่งที่ทําให้การสื่อสารนําไปสู่ความพึงพอใจและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน
100 ความสามารถในการเอาใจเขามาใส่ใจเรา แสดงถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของการสื่อสารระหว่างบุคคลข้อใด
ตอบ 2 หน้า 161 – 162 พฤติกรรมความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) หรือความสามารถในการเอาใจเขา มาใส่ใจเรา หมายถึง ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น หรือความสามารถในการรับรู้และเข้าใจถึง ความรู้สึกและความคิดเห็นของคู่สื่อสารในแต่ละสถานการณ์ได้เสมือนเป็นคน ๆ นั้น ซึ่งจะช่วยให้ คู่สื่อสารปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการสื่อสารของตนให้เป็นที่พอใจซึ่งกันและกันได้