การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2550
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3004 (LA 304),(LW 305) พระธรรมนูญศาลยุติธรรม
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 เนื่องจากในจังหวัดนั้นไม่มีศาลอื่นตั้งอยู่ นายจีนจึงนำคดีไปฟ้องนายแขกยังศาลจังหวัดในข้อหาฐานลักทรัพย์ของนายจีน ขอให้ศาลลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกินหกพันบาท นายดำรงผู้พิพากษาศาลจังหวัดไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า พยานโจทก์รับฟังไม่ได้ คดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
นายจีนอุทธรณ์ว่า คำพิพากษาของนายดำรงผู้พิพากษาศาลจังหวัดไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะผู้พิพากษาศาลจังหวัดนั่งพิจารณาพิพากษาคดีไม่ครบองค์คณะตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 26 ซึ่งบัญญัติว่า องค์คณะผู้พิพากษาศาลจังหวัดต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคนจึงจะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาทั้งปวง
อุทธรณ์ของนายจีนฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 25 ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้
(3) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา
(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 167 ถ้าปรากฏว่าคดีมีมูล ให้ศาลประทับรับฟ้องไว้พิจารณาต่อไปเฉพาะกระทงที่มีมูล ถ้าคดีไม่มีมูลให้พิพากษายกฟ้อง
วินิจฉัย
ศาลจังหวัดโดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจไต่สวนมูลฟ้องและพิจารณาพิพากษาคดีอาญาในความผิดฐานลักทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6,000 บาท ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25(3),(5)
เมื่อนายดำรงผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องคดีดังกล่าวแล้วเห็นว่าพยานโจทก์รับฟังไม่ได้คดีไม่มีมูลจึงพิพากษายกฟ้อง นายดำรงผู้พิพากษาคนเดียวย่อมสามารถกระทำได้ ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25(3) และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 167
ที่นายจีนอุทธรณ์ว่าคำพิพากษาของนายดำรงผู้พิพากษาศาลจังหวัดไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะผู้พิพากษาศาลจังหวัดนั่งพิจารณาพิพากษาคดีไม่ครบองค์คณะตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 26 นั้น เห็นว่า อำนาจในการไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา ตามมาตรา 25 วรรคแรก ให้อำนาจผู้พิพากษาคนเดียวที่จะกระทำได้ ดังนั้นอุทธรณ์ของนายจีนจึงฟังไม่ขึ้น
สรุป อุทธรณ์ของนายจีนฟังไม่ขึ้น
ข้อ 2 ในศาลอาญามีคดีอาญาเรื่องหนึ่ง นายกรกฎผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญา และนายเมษาผู้พิพากษาศาลอาญาเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา เมื่อองค์คณะทั้งสองคนได้พิจารณาคดีเสร็จแล้วจึงปรึกษาคดีกันเพื่อทำคำพิพากษา ปรากฏว่า นายกรกฎผู้พิพากษาหัวหน้าคณะมีความเห็นแย้งกับนายเมษา จึงไม่สามารถทำคำพิพากษาได้ นายกรกฎได้นำสำนวนคดีดังกล่าวไปปรึกษากับนายเอกซึ่งเป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา นายเอกมีความเห็นเช่นเดียวกับนายกรกฎจึงลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาร่วมกับนายกรกฎ คำพิพากษาดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 29 ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา และเฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และศาลชั้นต้นมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว
(3) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแต่กรณี
มาตรา 31 เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้างล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 นอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา 30 แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย
(3) กรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งคดีแพ่งเรื่องใดของศาลนั้น จะต้องกระทำโดยองค์คณะซึ่งประกอบด้วย ผู้พิพากษาหลายคน และผู้พิพากษาในองค์คณะนั้นมีความเห็นแย้งกันจนหาเสียงข้างมากมิได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 184 ในการประชุมปรึกษาเพื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง ให้อธิบดีผู้พิพากษา ข้าหลวงศาลยุติธรรม หัวหน้าผู้พิพากษาในศาลนั้นหรือเจ้าของสำนวนเป็นประธานถามผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาทีละคน ให้ออกความเห็นทุกประเด็นที่จะวินิจฉัย ให้ประธานออกความเห็นสุดท้ายการวินิจฉัยให้ถือตามเสียงข้างมาก ถ้าในปัญหาใดมีความเห็นแย้งเป็นสองฝ่ายหรือเกินกว่าสองฝ่ายขึ้นไป จะหาเสียงข้างมากมิได้ ให้ผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นแย้งเป็นผลร้ายแก่จำเลยมากยอมเห็นด้วยผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า
วินิจฉัย
โดยหลักแล้วในคดีแพ่ง ถ้าผู้พิพากษาหลายคนซึ่งเป็นองค์คณะในการทำคำพิพากษาหรือคำสั่งมีความเห็นแย้งกันจนกาเสียงข้างมากมิได้ ให้ถือว่าเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ตามมาตรา 31(3) ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์ขณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ บทบัญญัติมาตรา 29(3) กำหนดให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลมีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาได้
แต่กรณีตามอุทาหรณ์ เป็นคดีอาญาต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 184 อันเป็นบทเฉพาะนั้นมาใช้บังคับจะนำพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 29(3) ประกอบมาตรา 31(3) มาใช้บังคับไม่ได้ดังนั้นในกรณีนี้จึงต้องให้ผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นแย้งเป็นผลร้ายแก่จำเลยมาก ยอมเห็นด้วยกับผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า การที่นายกรกฎนำสำนวนคดีดังกล่าวไปปรึกษากับนายเอกซึ่งเป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา และนายเอกมีความเห็นเช่นเดียวกับนายกรกฎจึงลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาร่วมกับนายกรกฎ คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
สรุป คำพิพากษาดังกล่าวไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
ข้อ 3 นายเทพได้กู้เงินนายรวย เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้นายเทพไม่ยอมชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยที่ค้างชำระจำนวน 5 แสนบาท ในวันที่ 2 ตุลาคม 2550 นายรวยได้ยื่นฟ้องนายเทพต่อศาลแพ่ง ขอให้ชำระเงินจำนวนดังกล่าว ต่อมาวันที่ 16 กรกฎาคม 2550 นายเทพได้ทำนิติกรรมยกที่ดินแปลงหนึ่งให้แก่นายเฮง ซึ่งที่ดินดังกล่าวมีราคาสามแสนบาท ตามราคาประเมินของกรมที่ดิน
นายรวยเจ้าหนี้ได้ทราบถึงการทำนิติกรรมดังกล่าว จึงมาฟ้องต่อศาลแพ่งขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินของนายเทพ เนื่องจากนายเทพไม่มีทรัพย์อื่นใด เมื่อยกที่ดินดังกล่าวให้แก่นายเฮงแล้วหากศาลแพ่งพิพากษาให้นายรวยชนะคดีข้างต้น นายรวยย่อมเสียเปรียบ เพราะไม่สามารถบังคับคดีให้ได้เงินที่นายเทพกู้ยืมไปคืน ศาลแพ่งสั่งไม่รับฟ้องเพราะเห็นว่า ที่ดินดังกล่าวมีราคาสามแสนบาท ต้องไปยื่นฟ้องที่ศาลแขวงจึงจะถูกต้อง
การสั่งไม่รับฟ้องของศาลแพ่งชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 16 วรรคสอง ศาลแพ่งและศาลอาญามีเขตตลอดท้องที่กรุงเทพมหานคร นอกจากท้องที่ที่อยู่ในเขตของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี ศาลจังหวัดมีนบุรีและศาลยุติธรรมอื่นตามที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกำหนดไว้
มาตรา 17 ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอำนาจทำการไต่สวน หรือมีคำสั่งใดๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง
มาตรา 25 ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้
(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์เป็นเรื่องที่นายเทพลูกหนี้ได้ทำนิติกรรมยกที่ดินแปลงหนึ่งให้แก่นายเฮง ซึ่งนายเทพไม่มีทรัพย์สินใดอีก ถือได้ว่าเป็นนิติกรรมอันเป็นฉ้อฉลเจ้าหนี้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 237
การที่นายรวยได้ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินของนายเทพ เป็นเพียงคดีที่ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลเท่านั้น มิได้เป็นการเรียกร้องเอาทรัพย์มาเป็นของนายรวยหรือนายรวยได้รับประโยชน์แต่อย่างใด เป็นการเรียกร้องเอาทรัพย์พิพาทกลับมาเป้นของลูกหนี้ ฟ้องเช่นนี้เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ (ฎ. 919/2508 (ประชุทใหญ่))
เมื่อเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ศาลแขวงจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 25(4) ประกอบมาตรา 17 คดีจึงอยู่ในอำนาจของศาลแพ่ง ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคสอง คำสั่งของศาลแพ่งที่ไม่รับคดีนี้ไว้พิจารณาจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
สรุป การสั่งไม่รับฟ้องของศาลแพ่งไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม