การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2550
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 เขียวเป็นโจทก์ฟ้องนายเหลืองต่อศาลจังหวัดข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี นายใหญ่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลได้จ่ายสำนวนคดีดังกล่าวให้นายเอกผู้พิพากษาศาลจังหวัดไต่สวนมูลฟ้อง นายเอกได้ไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีดังกล่าวไม่มีมูลควรพิพากษายกฟ้องจึงนำสำนวนคดีไปปรึกษากับนายใหญ่ นายใหญ่จึงมอบหมายให้นายเด่นผู้พิพากษาอาวุโสในศาลจังหวัดนั้น ตรวจสำนวนการไต่สวนมูลฟ้องและลงลายมือชื่อทำคำพิพากษายกฟ้องร่วมกับนายเอก
ท่านเห็นว่าการกระทำดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 25 ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้
(3) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา
(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้
มาตรา 29 ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา และเฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และศาลชั้นต้นมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว
(3) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแต่กรณี
มาตรา 31 เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้างล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 นอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา 30 แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย
(1) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาแล้วเห็นว่าควรพิพากษายกฟ้อง แต่คดีนั้นมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนดเกินกว่าอัตราโทษตามมาตรา 25(5)
วินิจฉัย
การที่นายเอกผู้พิพากษาศาลจังหวัด ซึ่งเป็นผู้พิพากษาคนเดียวทำการไต่สวนมูลฟ้องในคดีอาญาความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ย่อมมีอำนาจทำได้ ตามมาตรา 25(3)
เมื่อนายเอกผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องคดีดังกล่าวแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล ควรพิพากษายกฟ้อง แต่คดีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนานั้นมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนด คือจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี ซึ่งถือว่าเกินอัตราโทษตามมาตรา 25(5) คือ มีอัตราโทษจำคุกเกินกว่า 3 ปี จึงไม่อยู่ในอำนาจของผู้พิพากษาศาลชั้นต้นคนเดียว นายเอกผู้พิพากษาที่ทำการไต่สวนมูลฟ้องจะพิพากษายกฟ้องไม่ได้ กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 31(1) ถือได้ว่ามีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดี ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ ดังนั้นจึงต้องมีผู้พิพากษาสองคนเป็นองค์คณะ และผู้พิพากษาที่จะเป็นองค์คณะมีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษานั้น ได้แก่ ผู้พิพากษาที่บัญญัติไว้ในมาตรา 29(3) คือ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหรืออธิบดีผู้พิพากษาภาค หรือผู้ทำการแทนผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหรืออธิบดีผู้พิพากษาภาค ตามมาตรา 29 วรรคท้าย
ดังนั้นในกรณีนี้นายใหญ่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลมีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาเป็นองค์คณะร่วมกับนายเอกเท่านั้น จะมอบหมายให้ผู้ใดทำคำพิพากษาแทนไม่ได้ การที่นายใหญ่มอบหมายให้นายเด่นผู้พิพากษาอาวุโสในศาลจังหวัดนั้นตรวจสำนวนการไต่สวนมูลฟ้องและลงลายมือชื่อทำคำพิพากษายกฟ้องร่วมกับนายเอก จึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 31(1) ประกอบมาตรา 29(3)
สรุป การกระทำดังกล่าวไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
ข้อ 2 ศาลแขวงสุพรรณบุรี โดยนายอรรถวิทย์ ผู้พิพากษาศาลแขวงสุพรรณบุรี พิจารณาคดีแพ่งซึ่งโจทก์ฟ้องมีทุนทรัพย์สามแสนบาท ต่อมาปรากฏว่าราคาทรัพย์ที่พิพาทเกินสามแสนบาท นายอรรถวิทย์เห็นว่าเป็นเหตุจำเป็นอื่นไม่อาจก้าวล่วงได้ จึงนำคดีไปให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงสุพรรณตรวจสำนวนลงชื่อทำคำพิพากษาเป็นองค์คณะ แล้วพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี คำพิพากษาศาลแขวงสุพรรณบุรีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 17 ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอำนาจทำการไต่สวน หรือมีคำสั่งใดๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง
มาตรา 25 ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้
(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
มาตรา 26 ภายใต้บังคับมาตรา 25 ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น นอกจากศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจำศาลเกินหนึ่งคน จึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งหรือคดีอาญาทั้งปวง
มาตรา 31 เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้างล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 นอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา 30 แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย
(4) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวพิจารณาคดีแพ่งตามมาตรา 25(4) ไปแล้ว ต่อมาปรากฏว่าราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้องเกินกว่าอำนาจพิจารณาพิพากษาของผู้พิพากษาคนเดียว
วินิจฉัย
ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25(4) ประกอบมาตรา 17 คือคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 3 แสนบาท และมีผู้พิพากษาคนเดียว
โจทก์ฟ้องคดีมีทุนทรัพย์ 3 แสนบาท ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง แต่เมื่อพิจารณาไปแล้วปรากฏว่า ทุนทรัพย์ที่พิพาทมีราคาเกินกว่า 3 แสนบาท คดีจึงเกินอำนาจของศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษา นายอรรถวิทย์ผู้พิพากษาศาลแขวงสุพรรณบุรีจะต้องมีคำสั่งจำหน่ายคดีของโจทก์ออกจากสารบบความ และคืนฟ้องให้โจทก์นำคดีไปฟ้องยังศาลที่มีอำนาจ นายอรรถวิทย์จะนำคดีไปให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงสุพรรณบุรีตรวจสำนวนและลงชื่อเป็นองค์คณะทำคำพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 26 ประกอบมาตรา 31(4) โดยถือว่าเป็นเหตุอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้มิได้ เพราะคดีตามมาตรา 31(4) เป็นคดีที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น คือ ศาลจังหวัดคนเดียวมีอำนาจพิจารณาพิพากษาเมื่อมีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ตามมาตรา 31(4) ถ้านายอรรถวิทย์เป็นผู้พิพากษาศาลจังหวัด จึงจะมีอำนาจนำคดีไปให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลลงชื่อทำคำพิพากษาเป็นองค์คณะสองคนเพื่อให้ครบองค์คณะตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 26 ได้ แต่เมื่อกรณีเป็นเรื่องของศาลแขวง ศาลแขวงจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกินอำนาจของศาลแขวง เพราะจะเป็นการขยายอำนาจของศาลแขวงให้มีอำนาจเหมือนศาลจังหวัด
สรุป คำพิพากษาศาลแขวงสุพรรณบุรีไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 3 ในจังหวัดราชบุรีมีศาลจังหวัดและศาลแขวง พนักงานอัยการได้นำคดีลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี ปรับไม่เกินหกพันบาท ไปฟ้องต่อศาลแขวง ซึ่งจำเลยในคดีนี้เคยกระทำความผิดมาก่อนและศาลจังหวัดได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนดหนึ่งปี และปรับหกพันบาท มีเหตุอันควรปราณีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดสองปี จำเลยได้กระทำความผิดในคดีนี้อีกโดยยังไม่พ้นกำหนดระยะเวลารอการลงโทษ จึงขอให้ศาลนำโทษจำคุกที่ศาลจังหวัดรอการลงโทษไว้มาบวกกับโทษในคดีนี้ด้วย ศาลแขวงได้สั่งประทับรับฟ้อง จำเลยให้การรับสารภาพ นายรักเกียรติ ผู้พิพากษาศาลแขวงจึงพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนดหนึ่งปี ปรับหกพันบาท จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้จำคุกจำเลยหกเดือน ปรับสามพันบาท และให้นำโทษจำคุกที่ศาลจังหวัดรอการลงโทษจำเลยไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้เป็นจำคุกจำเลยหนึ่งปีหกเดือน และปรับสามพันบาท
การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลแขวงถูกต้องหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 17 ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอำนาจทำการไต่สวน หรือมีคำสั่งใดๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง
มาตรา 25 ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้
(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้
มาตรา 58 วรรคแรก เมื่อความปรากฏแก่ศาลเอง หรือความปรากฏตามคำแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงานว่า ภายในเวลาที่ศาลกำหนดตามมาตรา 56 ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาได้กระทำความผิดอันมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกสำหรับความผิดนั้น ให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังกำหนดโทษที่รอการกำหนดไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษในคดีหลัง หรือบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลัง แล้วแต่กรณี
วินิจฉัย
ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาในความผิดฐานลักทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25(5) ประกอบมาตรา 17
แต่ในการพิพากษาคดีอาญา ศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียวถูกจำกัดอำนาจในการพิพากษาตามมาตรา 25(5) กล่าวคือ จะพิพากษาลงโทษจำคุกเกิน 6 เดือน หรือปรับเกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับนั้นอย่างหนึ่งอย่างใดหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้ ดังนั้นการที่ศาลแขวงโดยนายรักเกียรติ ผู้พิพากษาคนเดียวพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี ปรับ 6,000 บาท แต่จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงเหลือให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 3,000 บาท ย่อมกระทำได้ เพราะไม่เกินอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียว ตามมาตรา 25(5)
ส่วนประเด็นว่าการที่ศาลแขวงนำโทษจำคุกที่ศาลจังหวัดรอการลงโทษจำเลยไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษจำคุกคดีนี้รวมเป็นจำคุกจำเลย 1 ปี 6 เดือน และปรับ 3,000 บาท ซึ่งถือว่าเกินอำนาจของศาลแขวงในการพิพากษาคดีอาญา ตามมาตรา 25(5) จะชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม หรือไม่ เห็นว่า การบวกโทษที่รอการลงโทษไว้เป็นการนำเอาโทษที่ศาลในคดีก่อนพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดและกำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลยไว้ แต่ให้รอการลงโทษที่กำหนดไว้นั้นภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด เมื่อจำเลยมากระทำผิดขึ้นอีกภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนดไว้ และคดีนั้นอยู่ในอำนาจศาลแขวง ศาลแขวงก็จะต้องนำเอาโทษที่ศาลในคดีก่อนกำหนดและให้รอการลงโทษจำเลยไว้มาบวกกับโทษในคดีหลัง ตาม ป.อ.มาตรา 58 ซึ่งบัญญัติบังคับและให้อำนาจไว้ แม้โทษนั้นจะให้จำคุกเกิน 6 เดือนหรือปรับเกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียวก็มีอำนาจพิพากษาคดีนั้นได้ ไม่ถือว่าเกินอำนาจ ดังนั้นการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลแขวงในคดีนี้จึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ตามมาตรา 25(5) ประกอบ ป.อ.มาตรา 58
และในกรณีนี้ก็ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 31(2) ในเรื่องเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ที่จะต้องให้ผู้พิพากษาอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นอธิบดีผู้พิพากษาภาคหรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาเป็นองค์คณะร่วมด้วย ตามมาตรา 29(3) แต่อย่างใด
สรุป การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลแขวงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม