การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2552
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 นายนพพรและบิดามารดาได้มาทำการสู่ขอนางสาวแววตาเพื่อทำการสมรส และตกลงกันว่าให้ฝ่ายหญิงจัดเตรียมงานสมรสในพิธีการต่างๆ รวมทั้งการจัดเลี้ยงมงคลสมรส ส่วนฝ่ายชายจะจัดเตรียมเรือนหอเพื่อการอยู่กินฉันสามีภริยากัน เมื่อถึงวันทำพิธีสมรสปรากฏว่านายนพพรไม่ได้มาทำการสมรสตามที่ตกลงกัน นางสาวแววตาเสียค่าใช้จ่ายในการเตรียมการสมรส การจัดงานเลี้ยงมงคลสมรส ชุดวิวาห์ และอื่นๆอีก จึงฟ้องเรียกค่าทดแทนต่อชื่อเสียงและการเตรียมการสมรสด้วย เช่นนี้ จะทำได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย
ธงคำตอบ
มาตรา 1437 วรรคแรก การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น
มาตรา 1439 เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย
มาตรา 1440 ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้ ดังต่อไปนี้
(1) ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น
(2) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้น บิดามารดา หรือบุคคลผู้กระทำการในฐานะเช่นบิดามารดาได้ใช้จ่ายหรือต้องตกเป็นลูกหนี้เนื่องจากในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควร
(3) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้นได้จัดการทรัพย์สินหรือการอื่นอันเกี่ยวแก่อาชีพทำมาหาได้ของตนไปโดสมควรด้วยการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรส
วินิจฉัย
โดยหลักของกฎหมาย ในกรณีที่มีการหมั้น และการหมั้นมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคแรก คือฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิง เพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้นแล้ว เมื่อมีการผิดสัญญาหมั้น ฝ่ายที่มิได้ผิดสัญญาหมั้นย่อมมีสิทธิเรียกให้ฝ่ายที่ผิดสัญญาหมั้นรับผิดใช้ค่าทดแทนได้ตามมาตรา 1439 และมาตรา 1440
การที่นายนพพรและบิดามารดาได้มาทำการสู่ขอนางสาวแววตาเพื่อทำการสมรส แต่ไม่ได้ทำการหมั้นกัน คือไม่ได้มีการส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่นางสาวแววตา ดังนั้นการหมั้นจึงไม่สมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคแรก คือให้ถือว่าไม่ได้มีการทำสัญญาหมั้นกันแต่อย่างใด
เมื่อถึงวันทำพิธีสมรส การที่นายนพพรไม่ได้มาทำการสมรสนั้น โดยหลักแล้วย่อมถือว่าเป็นการผิดสัญญาหมั้น แต่อย่างไรก็ตาม กรณีที่จะถือว่าเป็นการผิดสัญญาหมั้น และทำให้ฝ่ายที่มิได้ผิดสัญญาหมั้นสามารถเรียกให้ฝ่ายที่ผิดสัญญาหมั้นรับผิดใช้ค่าทดแทนตามมาตรา 1439 และมาตรา 1440 ได้นั้น ตามกฎหมายจะต้องได้มีการหมั้นกันก่อน และการหมั้นนั้นสมบูรณ์ แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าไม่ได้มีการหมั้นกัน ดังนั้นการที่นางสาวแววตาเสียค่าใช้จ่ายในการเตรียมการสมรส และค่าใช้จ่ายอื่นๆรวมทั้งต้องเสียหายต่อชื่อเสียงนั้น นางสาวแววตาจึงไม่สามารถฟ้องเรียกให้นายนพพรรับผิดใช้ค่าทดแทนดังกล่าวได้
สรุป นางสาวแววตาจะเรียกค่าทดแทนเพื่อความเสียหายต่อชื่อเสียงและค่าใช้จ่ายเนื่องจากการเตรียมการสมรสจากนายนพพรไม่ได้
ข้อ 2 นายนิกรชอบนางสาวกาญจนา แต่นางสาวกาญจนาไม่ชอบนายนิกร ต่อมานายนิกรจึงได้ข่มขู่อันถึงขนาดให้นางสาวกาญจนาจดทะเบียนสมรสด้วย แปดเดือนต่อมา (เดือนกุมภาพันธ์) นายนิกรได้ปล่อยให้นางสาวกาญจนามีอิสระไปไหนมาไหนได้ นางสาวกาญจนาได้พบเพื่อนเก่าคือนายสมหวังซึ่งเคยชอบพอกันมาก่อน จึงได้พูดคุยตกลงกันและจดทะเบียนสมรสกันในเดือนสิงหาคม จากข้อเท็จจริงดังกล่าว ถ้านายนิกรมีบ้านก่อนสมรส 1 หลัง ได้ให้เช่าได้รับค่าเช่าเดือนละ 10,000 บาท และนางสาวกาญจนาได้ซื้อสลากออมสินมูลค่า 1 ล้านบาท ก่อนทำการสมรสกับนายนิกร และมาได้รับรางวัล 1 ล้านบาท ในเดือนตุลาคม (เมื่อทำการสมรสกับนายสมหวังแล้ว) เช่นนี้ ทรัพย์สินต่างๆจะตกเป็นของใคร เพราะเหตุใด ตามกำหมายใด จงอธิบาย
ธงคำตอบ
มาตรา 1452 ชายหรือหญิงจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้
มาตรา 1471 สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน
(1) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส
มาตรา 1474 สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน
(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส
(3) ที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว
มาตรา 1495 การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ
มาตรา 1498 การสมรสที่เป็นโมฆะ ไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา
ในกรณีที่การสมรสเป็นโมฆะ ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดมีหรือได้มาไม่ว่าก่อนหรือหลังการสมรสรวมทั้งดอกผลคงเป็นของฝ่ายนั้น ส่วนบรรดาทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันให้แบ่งคนละครึ่ง เว้นแต่ศาลจะเห็นสมควรสั่งเป็นประการอื่น เมื่อได้เคราะห์ถึงภาระในครอบครัว ภาระในการหาเลี้ยงชีพ และฐานะของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย ตลอดจนพฤติการณ์อื่นทั้งปวงแล้ว
มาตรา 1502 การสมรสที่เป็นโมฆียะสิ้นสุดลงเมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอน
มาตรา 1507 วรรคแรก ถ้าคู่สมรสได้ทำการสมรสโดยถูกข่มขู่อันถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีการข่มขู่นั้นจะไม่ทำการสมรส การสมรสนั้นเป็นโมฆียะ
วินิจฉัย
การที่นายนิกรได้ข่มขู่อันถึงขนาดทำให้นางสาวกาญจนาจดทะเบียนสมรสด้วยเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 1507 ย่อมทำให้การสมรสระหว่างนายนิกรกับนางสาวกาญจนาตกเป็นโมฆียะ แต่การสมรสยังไม่สิ้นสุดลง เพราะการสมรสจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อศาลได้พิพากษาให้เพิกถอนการสมรสนั้นแล้ว (มาตรา1502) ดังนั้นเมื่อนางสาวกาญจนาได้จดทะเบียนสมรสกับนายสมหวังอีก จึงเป็นการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่แล้วถือว่าเป็นการสมรสซ้อนที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1452 การสมรสระหว่างนางสาวกาญจนากับนายสมหวังจึงเป็นโมฆะตามมาตรา 1495
และตามข้อเท็จจริง การที่นายนิกรมีบ้านอยู่ก่อนสมรส บ้านจึงเป็นสินส่วนตัวของนายนิกร เพราะเป็นทรัพย์สินที่นายนิกรมีอยู่ก่อนสมรสตามมาตรา 1471(1) แต่สำหรับค่าเช่าบ้านเดือนละ 10,000 บาท ที่ได้รับหลังจากสมรส ถือว่าเป็นสินสมรสระหว่างนายนิกรกับนางสาวกาญจนา เพราะเป็นทรัพย์สินที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัวตามมาตรา 1474(3)
สำหรับสลากออมสิน 1 ล้านบาท ที่นางสาวกาญจนามีอยู่ก่อนสมรส ย่อมเป็นสินส่วนตัวของนางสาวกาญจนาตามมาตรา 1471(1) แต่รางวัลจากสลากออมสิน 1 ล้านบาท เป็นทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างสมรสตามมาตรา 1474(1) โดยหลักย่อมเป็นสินสมรสของนางสาวกาญจนากับนายสมหวัง แต่เมื่อการสมรสระหว่างนางสาวกาญจนากับนายสมหวังเป็นโมฆะ จึงไม่เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาตามมาตรา 1498 วรรคแรก ดังนั้นระหว่างนางสาวกาญจนากับนายสมหวัง รางวัล 1 ล้านบาท ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ได้มาหลังการสมรสจึงเป็นของนางสาวกาญจนาตามมาตรา 1498 วรรคสอง แต่ระหว่างนางสาวกาญจนากับนายนิกร ถือว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างสมรส และเมื่อการสมรสระหว่างทั้งสองยังไม่สิ้นสุดลง ดังนั้นรางวัล 1 ล้านบาทดังกล่าว จึงถือว่าเป็นสินสมรสระหว่างนายนิกรกับนางสาวกาญจนาตามมาตรา 1474(1) ประกอบมาตรา 1502
สรุป
บ้าน เป็นสินส่วนตัวของนายนิกร
ค่าเช่าบ้าน เป็นสินสมรสระหว่างนายนิกรกับนางสาวกาญจนา
สลากออมสิน 1 ล้านบาท เป็นสินส่วนตัวของนางสาวกาญจนา
รางวัลสลากออมสิน 1 ล้านบาท เป็นสินสมรสระหว่างนายนิกรกับนางสาวกาญจนา
ข้อ 3 นายสมบูรณ์กับนางอรสาเป็นสามีภริยากันแต่ทะเลาะเบาะแว้งกันตลอดเวลา ต่อมานางอรสาได้เก็บเสื้อผ้ากลับไปอยู่ที่บ้านบิดามารดาตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ เมื่อถึงวันที่ 28 ตุลาคม นางอรสาได้ฟ้องหย่านายสมบูรณ์ต่อศาล หลังจากนั้นนายสมบูรณ์ได้ใช้ชีวิตร่วมกับนางสาวดาราไปเที่ยวเตร่กันตลอดเวลากับเพื่อนๆ ของนางสาวดาราและนายสมบูรณ์ เมื่อไปเที่ยวเตร่นายสมบูรณและนางสาวดาราก็หลับนอนร่วมกันในห้องพักเดียวกันตลอดเวลาเป็นประจำสม่ำเสมอ นางสาวดาราเองก็กล่าวต่อหน้าเพื่อนๆว่า นายสมบูรณ์เป็นสามีที่ดีมาก และในกรณีนี้นางอรสาจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนางสาวดาราจะทำได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย
ธงคำตอบ
มาตรา 1523 วรรคสอง สามีจะเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินภริยาไปในทำนองชู้สาวก็ได้และภริยาจะเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาวก็ได้
วินิจฉัย
การที่นายสมบูรณ์สามีของนางอรสาได้ใช้ชีวิตร่วมกับนางสาวดาราซึ่งเห็นได้จากการไปเที่ยวเตร่ร่วมกันกับผู้อื่น และหลับนอนร่วมกันในห้องพักเดียวกันตลอดเวลาเป็นประจำสม่ำเสมอ อีกทั้งนางสาวดาราเองก็กล่าวต่อหน้าเพื่อนๆว่านายสมบูรณ์เป็นสามีที่ดี การกระทำของนางสาวดาราถือว่าเป็นการแสดงตนโดยเปิดเผยว่าตนมีความสัมพันธ์กับนายสมบูรณ์ในทำนองชู้สาวแล้ว ดังนั้น นางอรสาสามารถเรียกค่าทดแทนจากนางสาวดาราได้ตามมาตรา 1523 วรรคสอง โดยไม่ต้องฟ้องหย่านายสมบูรณ์
สรุป นางอรสาฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนางสาวดาราได้
ข้อ 4 นายสำเภาได้ทำสัญญาหมั้นนางสาวสุนิสาด้วยแหวนหนึ่งวง ต่อมาในวันอังคารที่ 9 เมษายน ได้ทำการจดทะเบียนสมรสกันที่อำเภอบางรักเวลา 09.09 น. เมื่อเดินออกมาจากที่ว่าการอำเภอบางรัก นายสำเภานำรถยนต์ที่ตั้งใจให้เป็นของหมั้นมาจอดไว้ที่หน้าตึกมอบให้นางสาวสุนิสาดีใจมาก หลายเดือนต่อมานางสาวสุนิสาได้กลับไปมีความสัมพันธ์กับนายร่าเริงแฟนเก่าเกินกว่าความเหมาะสม นายสำเภาโกรธมากจึงขอแหวนเพชรและรถยนต์คืน เช่นนี้จะทำได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย
ธงคำตอบ
มาตรา 1469 สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากันนั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริต
มาตรา 1471 สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน
(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่ห์หา
(4) ที่เป็นของหมั้น
วินิจฉัย
การที่นายสำเภาได้ทำสัญญาหมั้นนางสาวสุนิสาด้วยแหวนเพชรหนึ่งวงและได้ส่งมอบแหวนเพชรให้แก่นางสาวสุนิสาแล้วนั้น การหมั้นย่อมมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคแรก และถือว่าแหวนเพชรที่เป็นของหมั้นนั้นเป็นสินส่วนตัวของนางสาวสุนิสาตามมาตรา 1471(4)
และเมื่อมีการสมรสกันแล้ว นายสำเภาได้มอบรถยนต์ให้นางสาวสุนิสาจึงเป็นการให้โดยเสน่ห์หารถยนต์จึงเป็นสินส่วนตัวของนางสาวสุนิสาตามมาตรา 1471(3) และการให้ดังกล่าวนั้น ถือว่าเป็นสัญญาระหว่างสมรสด้วยตามมาตรา 1469
ต่อมาเมื่อนางสาวสุนิสาได้กลับไปมีความสัมพันธ์กับนายร่าเริงแฟนเก่าทำให้นายสำเภาโกรธจึงขอแหวนเพชรและรถยนต์คืนจากนางสาวสุนิสานั้น จะเห็นได้ว่านายสำเภาจะเรียกแหวนเพชนคืนไม่ได้ เพราะแหวนเพชรเป็นสินส่วนตัวของนางสาวสุนิสาตามมาตรา 1471(4) ส่วนรถยนต์นั้น เมื่อการให้รถยนต์แก่นางสาวสุนิสาเป็นสัญญาระหว่างสมรส ซึ่งนายสำเภาสามารถบอกล้างได้ในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่ตามมาตรา 1469 ดังนั้น นายสำเภาจึงเรียกรถยนต์คืนได้ โดยการบอกล้างสัญญาให้ซึ่งเป็นสัญญาระหว่างสมรสนั้น
สรุป นายสำเภาจะขอแหวนเพชรคืนไม่ได้ แต่ขอรถยนต์คืนได้