การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2548
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 4 ข้อ
ข้อ 1 นายสนองขับรถบนทางหลวงจากจังหวัดลำปางมุ่งหน้าไปจังหวัดแพร่ โดยมีนายสว่างขับรถตามหลังมา นายสว่างได้ให้สัญญาณไปขอแซงหลายครั้งแต่นายสนองก็เร่งเครื่องยนต์ขับรถเร็วขึ้นไม่ยอมให้แซง เมื่อถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นถนนบนไหล่เขา ด้านหนึ่งของถนนเป็นภูเขาส่วนอีกด้านเป็นเหวลึกประมาณ 30 เมตร นายสว่างได้ขับรถเร่งความเร็วแซงขึ้นและหมุนพวงมาลัยขับรถปาดหน้ารถของนายสนองแล้วเหยียบเบรกกะทันหัน นายสนองจึงต้องเหยียบเบรกและขับรถหลบไปทางซ้ายทำให้รถตกลงไปในเหวข้างทางแต่ตัวรถไปติดกับต้นไม้ใหญ่รถจึงหยุด นายสนองได้รับอันตรายคือขาซ้ายหักต้องเข้าเฝือกรักษาอยู่ 40 วัน จึงหาย จากข้อเท็จจริงดังกล่าวให้วินิจฉัยว่าการกระทำของนายสว่างจะเป็นความผิดเกี่ยวกับชีวิตหรือร่างกายฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 59 วรรคสอง กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำและในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
มาตรา 80 ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด
ผู้ใดพยายามกระทำความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
มาตรา 288 ผู้ใดฆ่าผู้อื่น ต้องระวางโทษ
องค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา ตามมาตรา 288 ประกอบด้วย
1 ฆ่า
2 ผู้อื่น
3 โดยเจตนา
การกระทำที่จะเป็นความผิด ตามมาตรา 288 นั้น นอกจากจะมีการกระทำด้วยประการใดๆอันเป็นการฆ่าบุคคลอื่นแล้ว ผู้กระทำยังต้องมีเจตนา ตามมาตรา 59 วรรคสอง ซึ่งเป็นองค์ประกอบภายในด้วย อาจจะเป็นเจตนาประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลก็ได้
สำหรับเจตนาเล็งเห็นผล หมายความว่า ผู้กระทำเล็งเห็นได้ว่าผลนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนเท่าที่จิตใจของบุคคลในฐานะเช่นนั้นจะเล็งเห็นได้ ดังนั้นหากผู้กระทำเล็งเห็นว่าผลนั้นจะเกิดขึ้น แม้ในที่สุดผลจะไม่เกิด ผู้กระทำต้องรับผิดฐานพยายาม
นายสว่างเจตนาขับรถปาดหน้ารถของนายสนอง เพื่อให้นายสนองต้องหักหลบจะได้ตกลงไปในเหวข้างทาง ซึ่งลึกประมาณ 30 เมตร ที่เกิดเหตุเป็นไหล่เขา ถ้ารถตกลงไปย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าจะต้องทำให้คนในรถถึงแก่ความตาย การกระทำของนายสว่างจึงเห็นได้ว่ามีเจตนาฆ่านายสนอง ซึ่งเป็นเจตนาโดยย่อมเล็งเห็นผลตามมาตรา 59 วรรคสอง เมื่อปรากฏว่านายสนองไม่ถึงแก่ความตาย นายสว่างจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าคนตายตามมาตรา 288 ประกอบมาตรา 80
สรุป นายสว่างมีความผิดฐานพยายามฆ่าคนตาย
ข้อ 2 นายเสน่ห์กับ น.ส.แอน อายุ 17 ปีเศษ เป็นคู่รักกัน วันหนึ่ง น.ส.แอน ได้มาหานายเสน่ห์ที่บ้านหลังจากที่บุคคลทั้งสองได้นั่งฟังเพลงและพูดคุยกันที่ห้องรับแขกได้ประมาณ 1 ชั่วโมง นายเสน่ห์ก็ชวน น.ส.แอนเข้าไปในห้องนอน ต่อมาบิดาของ น.ส.แอนก็ตามมาที่บ้านของนายเสน่ห์และพบน.ส.แอนอยู่กับนายเสน่ห์ในห้องนอนโดยยังไม่ได้ร่วมประเวณีกัน บิดาของน.ส.แอน จึงพาตัว น.ส.แอนกลับบ้านแล้วได้ไปแจ้งความให้ดำเนินคดีกับนายเสน่ห์ในข้อหาพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร ในชั้นสอบสวนนายเสน่ห์ปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิด เพราะที่ชวน น.ส.แอนเข้าไปในห้องนอนก็เพื่อจะดูหนังวีดีโอ ประกอบกับยังไม่ได้มีการร่วมประเวณีกันแต่อย่างใด ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า นายเสน่ห์จะมีความผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 319 วรรคแรก ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อหากำไร หรือเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย ต้องระวางโทษ…
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ตามมาตรา 319 วรรคแรก ประกอบด้วย
1 พรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี
2 ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล
3 โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย
4 โดยเจตนา
5 เพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร
การพราก หมายถึง การพาไปหรือแยกผู้เยาว์ออกไปจากความปกครองดูแลของบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล ทำให้ความปกครองดูแลของบุคคลดังกล่าว ถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือน อันเป็นการล่วงอำนาจปกครองของบุคคลดังกล่าว
น.ส.แอน อายุ 17 ปีเศษ ได้มาหานายเสน่ห์ที่บ้าน โดยนายเสน่ห์มิได้ชักชวนแต่อย่างใด จึงเป็นกรณีที่ผู้เยาว์ไปที่บ้านนายเสน่ห์โดยสมัครใจ มิได้เกิดจากการที่จำเลยชักพาไป การกระทำดังกล่าวไม่ถือเป็นการ “พราก” ตามนัยของมาตรา 319 วรรคแรก นายเสน่ห์จึงไม่มีความผิดตามมาตรา 319 วรรคแรก
เมื่อไม่เป็นการพราก แม้นายเสน่ห์จะชวน น.ส.แอน เข้าไปในห้องนอน โดยมีเจตนาจะร่วมประเวณีกัน แต่ยังไม่ได้ร่วมประเวณีนั้นก็ไม่เป็นการพรากไปเพื่อการอนาจาร
สรุป นายเสน่ห์ไม่มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร ตามมาตรา 319 วรรคแรก
ข้อ 3 แดงและขาวเป็นเพื่อนกันได้เข้าไปรับประทานอาหารในภัตตาคารแห่งหนึ่ง เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ แดงเป็นผู้จ่ายเงินค่าอาหารทั้งหมด แดงบอกขาวว่าวันนี้แดงขอเลี้ยงข้าวเอง แดงได้ให้เงินกับพนักงานเก็บเงินไป โดยส่งธนบัตรใบละ 1,000 บาท ให้ซึ่งเป็นค่าอาหารเพียง 200 บาท พนักงานรับเงินไปแล้วได้นำเงินทอน 800 บาท เพื่อมาทอนให้กับแดงในขณะนั้นเองแดงเกิดปวดท้องขึ้นมาทันที แดงเห็นพนักงานร้านอาหารเดินมาอยู่ห่างประมาณ 10 เมตร แดงบอกกับขาวว่าทนไม่ไหวแล้วจะไปเข้าห้องน้ำให้ขาวรับเงินทอนไว้เดี๋ยวตนจะกลับมาเอา แดงรีบไปเข้าห้องน้ำในภัตตาคารแห่งนั้นและเมื่อแดงทำธุระเสร็จ แดงได้กลับมาที่โต๊ะอาหาร ขาวส่งเงินทอนให้แดงเพียง 700 บาท พร้อมกับบอกแดงว่าเงินทอนนับเรียบร้อยแล้วไม่ต้องนับอีก แดงรับเงินจากขาวไปเพียง 700 บาท โดยไม่รู้ว่าขาวยักเอาไว้เสีย 100 บาท ดังนี้ท่านเห็นว่าการกระทำของขาวจะเป็นความผิดอาญาเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใด
ธงคำตอบ
มาตรา 334 ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ…
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ ตามมาตรา 334 ประกอบด้วย
1 เอาไป
2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย
3 โดยเจตนา
4 โดยทุจริต
การลักทรัพย์ เป็นเรื่องการเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปจากการครอบครองของผู้อื่นโดยทุจริต หรือการแย่งการครอบครองนั่นเอง
การครอบครองทรัพย์ หมายถึง การยึดถือทรัพย์โดยมีเจตนาที่จะยึดถือไว้เพื่อตนเอง และผู้ครอบครองมีฐานะเป็นผู้มีอำนาจเหนือทรัพย์นั้นอย่างแท้จริง
แดงเป็นผู้จ่ายเงินค่าอาหารทั้งหมด โดยส่งธนบัตรใบละ 1,000 บาท แต่ค่าอาหารเพียง 200 บาท พนักงานนำเงิน 800 บาท เพื่อทอนให้แดง แต่แดงให้ขาวรับเงินทอนไว้แทนเพื่อตนจะได้ไปเข้าห้องน้ำ ดังนี้เงินทอน 800 บาทดังกล่าวยังคงเป็นเงินของแดง เป็นกรณีที่แดงผู้เสียหายให้ขาวรับเงินทอนไว้แทนเป็นการชั่วคราวชั่วระยะเวลาที่แดงไปเข้าห้องน้ำ มิได้เจตนาสละการครอบครองให้ ถือว่าเงินยังอยู่ในครอบครองของแดงผู้เสียหาย ขาวเป็นเพียงผู้ยึดถือแทนแดงเท่านั้น แต่ไม่ได้ครอบครองเงินนั้นเพราะแดงเป็นผู้ครอบครอง (แดงมิได้ออกไปจากภัตตาคาร) เมื่อขาวยักเงินไว้ 100 บาท จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นการเอาไปซึ่งทรัพย์ของแดงโดยสุจริตแล้ว ขาวมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 หาใช่เป็นความผิดฐานยักยอกไม่
สรุป ขาวมีความผิดฐานลักทรัพย์ ตามมาตรา 334
ข้อ 4 นางเดือนได้ฝากเงินไว้กับนางฟ้า 20,000 บาท หลังจากนั้นประมาณปีเศษนางเดือนจึงไปขอรับเงินคืน นางฟ้าบอกว่าเงินที่รับฝากได้นำไปใช้หมดแล้วยังไม่มีคืนให้และขอผัดผ่อนโดยไม่เคยปฏิเสธว่าไม่ได้รับฝากต่อมานางเดือนได้ทวงถามอีกหลายครั้งนางฟ้าก็ขอผัดผ่อนเรื่อยมา จนกระทั่งนางเดือนได้ไปแจ้งความให้ดำเนินคดีกับนางฟ้า เมื่อพนักงานสอบสวนเรียกไปสอบถามนางฟ้าจึงได้ปฏิเสธว่าไม่เคยรับฝากเงินจากนางเดือน ดังนี้ให้วินิจฉัยว่านางฟ้าจะมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 352 วรรคแรก ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอกต้องระวางโทษ…
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตามมาตรา 352 วรรคแรก ประกอบด้วย
1 ครอบครอง
2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย
3 เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม
4 โดยเจตนา
5 โดยทุจริต
ในเรื่องฝากเงินนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งละพาณิชย์ มาตรา 672 ได้บัญญัติไว้เป็นใจความว่า ผู้รับฝากไม่พึงต้องคืนเป็นเงินทองตราอันเดียวกันกับมี่ฝาก แต่จะต้องใช้เงินให้ครบจำนวน ผู้รับฝากมีสิทธิจะนำเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้ก็ได้ หากแต่ต้องคืนเงินให้ครบจำนวนเท่านั้น แม้ว่าเงินที่ฝากจะได้สูญหายไปด้วยเหตุสุดวิสัยก็ตาม ผู้รับฝากก็จำต้องคืนเป็นจำนวนดังว่านั้น กฎหมายดังกล่าวมานี้แสดงว่าผู้รับฝากเงินมีสิทธิเอาเงินที่ฝากไปใช้ได้ โดยมีหน้าที่ต้องคืนเงินให้ครบจำนวน ทั้งนี้แม้จะไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ฝากก็ตาม
นางเดือนผู้เสียหายรับว่าครั้งแรกได้ไปทวงเงินจากนางฟ้า โดยนางฟ้าบอกว่าเอาเงินไปใช้หมดแล้วยังไม่มีคืนให้ และขอผัดผ่อนโดยไม่เคยปฏิเสธว่าไม่ได้รับฝาก หลังจากนั้นนางเดือนผู้เสียหายไปทวงเงินจากนางฟ้าหลายครั้ง แต่นางฟ้าขอผัดผ่อนเรื่อยมาจนกระทั่งนางเดือนไปแจ้งความดำเนินคดี นางฟ้าจึงปฏิเสธว่าไม่เคยรับฝากเงินจากนางเดือน ดังนี้ แสดงว่าขณะที่นางฟ้าเอาเงินไปใช้หมดนางฟ้าไม่มีเจตนาทุจริตยักยอกเงินนั้น เพราะนางฟ้าได้ขอผัดผ่อนการชำระเงินอยู่ จึงเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง การที่นางฟ้าปฏิเสธในชั้นสอบสวนในภายหลังว่าไม่เคยรับฝากเงินกับนางเดือนผู้เสียหายไม่ทำให้นางฟ้ามีความผิดฐานทุจริตยักยอกเงินที่รับฝาก
สรุป นางฟ้าจึงไม่มีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตามมาตรา 352 วรรคแรก