การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2549
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 4 ข้อ
ข้อ 1 หนึ่งแอบเข้าไปลักทรัพย์ในบ้านของเอกพจน์ เวลาประมาณตีหนึ่ง เห็นเอกพจน์นั่งฟุบที่โต๊ะทำงานเข้าใจว่าหลับ หนึ่งเกรงว่าเอกพจน์จะตื่นขึ้นมาขัดขวางจึงใช้ด้ามปืนตีศีรษะเอกพจน์ให้หมดสติ แต่ความจริงเอกพจน์หัวใจวายถึงแก่ความตายตั้งแต่ตอนสี่ทุ่มเศษ ดังนี้ หนึ่งจะมีความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกายฐานใดหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 295 ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย หรือจิตใจของผู้นั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษ
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ตามมาตรา 295 ประกอบด้วย
1 ทำร้าย
2 ผู้อื่น
3 จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่น
4 โดยเจตนา
“ผู้อื่น” หมายความว่า บุคคลใดๆซึ่งมิใช่ผู้กระทำความผิด และบุคคลนั้นต้องมีสภาพบุคคลซึ่งยังมีชีวิตอยู่ในขณะถูกทำร้ายด้วย
การที่หนึ่งใช้ด้ามปืนตีศีรษะเอกพจน์ที่ได้ถึงแก่ความตายไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว หนึ่งไม่มีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย แม้ว่าหนึ่งจะมีเจตนาทำร้าย และได้ลงมือทำร้ายโดยใช้ด้ามปืนตีศีรษะเอกพจน์ แต่ขณะที่หนึ่งลงมือกระทำนั้นเอกพจน์ได้ตายไปก่อนแล้ว จึงไม่เป็นการทำร้ายผู้อื่น เพราะเอกพจน์ไม่มีสภาพบุคคล ตาม ป.พ.พ. มาตรา 15 แล้ว ในกรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นการกระทำที่ขาดองค์ประกอบภายนอกและขาดองค์ประกอบความผิดของมาตรา 295 หนึ่งผู้กระทำจึงไม่มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายและไม่เป็นการพยายามกระทำความผิดตามมาตรา 80 หรือมาตรา 81 ด้วย เพราะที่จะเป็นการพยายามกระทำความผิดได้นั้นจะต้องมีองค์ประกอบความผิดฐานนั้นครบทุกประการแล้ว
สรุป หนึ่งไม่มีความผิดเกี่ยวกับชีวิตหรือร่างกาย
ข้อ 2 น.ส.สร้อยเป็นข้าราชการสังกัดหน่วยงานหนึ่ง น.ส.สร้อยได้มีความรักและความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับนายเก่งซึ่งเป็นเพื่อนของนายอาทิตย์ทั้งที่นายเก่งก็มีภริยาอยู่แล้ว น.ส.สร้อยต้องการเอาใจนายเก่งจึงได้กู้ยืมเงินจากนายอาทิตย์เพื่อซื้อของใช้ต่างๆ ให้นายเก่งเป็นประจำ ต่อมาเมื่อถึงกำหนดชำระหนี้ตามที่ตกลงกันไว้ น.ส.สร้อยก็ไม่ยอมชำระหนี้ นายอาทิตย์ได้ทวงถามหลายครั้ง น.ส.สร้อยก็ขอผัดผ่อน วันเกิดเหตุขณะที่ น.ส.สร้อยนั่งพูดคุยกับบุคคลอื่นอยู่ในบ้าน นายอาทิตย์ได้เข้าไปในบ้านและบังคับให้ น.ส.สร้อยหาเงินมาชำระหนี้ โดยขู่เข็ญว่า ถ้าน.ส.สร้อยไม่ชำระหนี้จะไปบอกภริยาของนายเก่งว่า น.ส.สร้อยเป็นชู้กับนายเก่งและจะขอให้ผู้บังคับบัญชาของ น.ส.สร้อยลงโทษทางวินัยด้วย น.ส.สร้อยยังไม่ได้ชำระหนี้ตามที่ถูกขู่เข็ญ บุคคลอื่นซึ่งอยู่ในบ้านก็ได้แอบโทรศัพท์แจ้งตำรวจมาจับกุมตัวนายอาทิตย์ไว้ได้เสียก่อน จากข้อเท็จจริงดังกล่าวให้วินิจฉัยว่า การกระทำของนายอาทิตย์จะเป็นความผิดอาญาฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 80 ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด
ผู้ใดพยายามกระทำความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
มาตรา 309 วรรคแรก ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้นต้องระวางโทษ…
มาตรา 326 ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษ…
วินิจฉัย
การที่นายอาทิตย์บังคับให้ น.ส.สร้อยหาเงินมาชำระหนี้โดยขู่เข็ญว่าจะบอกเรื่องที่ น.ส.สร้อยเป็นชู้กับนายเก่งให้ภริยาของนายเก่งรู้ และจะขอให้ผู้บังคับบัญชาลงโทษทางวินัยแก่ น.ส.สร้อยนั้น เป็นการข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่ชื่อเสียงของ น.ส.สร้อย ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพ แต่ น.ส.สร้อยยังไม่ได้กระทำการชำระหนี้ตามที่ถูกบังคับขู่เข็ญ การกระทำของนายอาทิตย์จึงเป็นความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพฐานพยายามข่มขืนใจผู้อื่นฯ ตามมาตรา 309 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80
นอกจากนี้ขณะที่นายอาทิตย์พูดกับ น.ส.สร้อยว่า น.ส.สร้อยเป็นชู้กับนายเก่ง ก็มีบุคคลอื่นอยู่ด้วย ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าบุคคลดังกล่าวจะได้ยินคำพูดของนายอาทิตย์ จึงเป็นการใส่ความ น.ส.สร้อยต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ น.ส.สร้อย เสียชื่อเสียง การกระทำของนายอาทิตย์จึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 326 อีกกระทงหนึ่งด้วย
สรุป การกระทำของนายอาทิตย์จึงเป็นความผิดฐานพยายามข่มขืนใจผู้อื่น ตามมาตรา 309 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80 และความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 326
ข้อ 3 นายสิงห์ขับรถยนต์กระบะไปซื้อของที่ตลาด ระหว่างทางรถของนายสิงห์เสียจึงจอดข้างทาง นายสาขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมาพบจึงขันอาสาซ่อมรถให้นายสิงห์ ปรากฏว่านายสาซ่อมรถยนต์ของนายสิงห์จนกระทั่งเย็นแต่ซ่อมไม่เสร็จ นายสิงห์จึงขอยืมรถจักรยานยนต์ของนายสาโดยอ้างว่าจะไปหายืมเงินมาซื้ออะไหล่ นายสายินยอมให้ไป ต่อมาประมาณหนึ่งชั่วโมงนายสิงห์ขับรถจักรยานยนต์กลับมาและบอกว่าหายืมเงินไม่ได้ นายสิงห์จึงขอยืมรถจักรยานยนต์ของนายสาอีกครั้งอ้างว่าจะไปหารถยนต์มาลากจูงรถยนต์ของนายสิงห์ นายสาก็ยินยอมให้ไป ปรากฏว่านายสิงห์นำรถจักรยานยนต์ไปขายเอาเงินไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว ดังนี้ นายสิงห์มีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 352 วรรคแรก ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอกต้องระวางโทษ…
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตามมาตรา 352 วรรคแรก ประกอบด้วย
1 ครอบครอง
2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย
3 เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม
4 โดยเจตนา
5 โดยทุจริต
การที่นายสา มอบรถจักรยานยนต์ให้นายสิงห์ยืมไปดังกล่าว เป็นการส่งมอบการครอบครองรถให้แก่นายสิงห์โดยชอบด้วยกฎหมาย นายสิงห์จึงเป็นผู้ครอบครองทรัพย์ของผู้อื่น เมื่อนายสิงห์นำรถไปขายจึงเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ของผู้อื่นนั้นไปโดยทุจริต เพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายนายสิงห์จึงมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตามมาตรา 352 วรรคแรก
สรุป นายสิงห์มีความผิดฐานยักยอกทรัพย์
ข้อ 4 นายแดงลอบเข้าไปในบ้านของนาย ก จากนั้นขโมยโทรศัพท์มือถือของนาย ก ไป หลังจากขโมยได้แล้วนายแดงนำโทรศัพท์มือถือไปมอบให้จำเลย ต่อมาจำเลยโทรศัพท์ไปหานาย ก โดยพูดว่า “ให้นาย ก นำเงินจำนวน 5,000 บาท มามอบให้จำเลยเป็นค่าไถ่โทรศัพท์มือถือ หากไม่นำมาให้จะไม่ได้รับโทรศัพท์คืน จำเลยจะนำไปขายให้แก่บุคคลอื่น” ปรากฏว่านาย ก ยอมมอบเงินให้แก่จำเลยไป ดังนี้ จำเลยมีความผิดฐานกรรโชกทรัพย์หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 337 วรรคแรก ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้ หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ หรือของบุคคลที่สามจนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกรรโชกต้องระวางโทษ..
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานกรรโชก ตามมาตรา 337 วรรคแรก ประกอบด้วย
1 ข่มขืนใจ
2 ผู้อื่น
3 โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ หรือของบุคคลที่สาม
4 ให้ยอมให้ หรือยอมจะให้ตน หรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน
5 จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น
6 โดยเจตนา
การที่จำเลยพูดกับนาย 1 ว่า “ให้นาย ก นำเงินจำนวน 5,000 บาท มามอบให้จำเลยเป็นค่าไถ่โทรศัพท์มือถือ หากไม่นำมาให้จะไม่ได้รับโทรศัพท์คืน จำเลยจะนำไปขายให้แก่บุคคลอื่น” คำพูดของจำเลยถือได้ว่าเป็นการข่มขืนใจผู้อื่นโดยการขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อทรัพย์สินของนาย ก แล้ว และเมื่อนาย ก ผู้ถูกขู่เข็ญมอบเงินซึ่งเป็นประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินให้แก่จำเลยไป การกระทำของจำเลยมีความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ ตามมาตรา 337
สรุป จำเลยมีความผิดฐานกรรโชกทรัพย์