การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2310 ทฤษฎีองค์การ

Advertisement

คําสั่ง ข้อสอบมี 3 ข้อ

ข้อ 1 พฤติกรรมองค์การคืออะไร และมีปัจจัยอะไรบ้างที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมองค์การ จงอธิบายมาให้เข้าใจโดยละเอียด

แนวคําตอบ

ความหมายของพฤติกรรมองค์การ

Gibson, Ivancevich and Downelly ให้ความหมายว่า พฤติกรรมองค์การเป็นการศึกษา พฤติกรรมของมนุษย์ ทัศนคติ และผลการปฏิบัติงานภายในสภาพแวดล้อมขององค์การ โดยใช้ทฤษฎี วิธีการ และหลักการของวิชาสาขาจิตวิทยา สังคมวิทยา และมานุษยวิทยามาผสมผสานเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการรับรู้ของคน ค่านิยม ความสามารถในการเรียนรู้ การกระทําต่าง ๆ ในขณะที่กําลังทํางานอยู่ในองค์การ รวมทั้งศึกษาวิเคราะห์ ผลกระทบของสภาพแวดล้อมภายนอกองค์การที่มีผลต่อองค์การ ทรัพยากรบุคคล จุดมุ่งหมาย วัตถุประสงค์ และกลยุทธ์ต่าง ๆ ภายนอกด้วย

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมองค์การ ได้แก่

1 บุคลากร ซึ่งมีความแตกต่างกันในด้านความรู้ความสามารถ การบรู้ การเรียนรู้ ทัศนคติ ค่านิยม และบุคลิกภาพ จึงส่งผลให้บุคลากรที่ทํางานในองค์การมีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน และมีอิทธิพลต่อพฤติกรรม องค์การที่แตกต่างกันออกไปด้วย

2 โครงสร้าง หมายถึง การจัดกลุ่มงานเข้าด้วยกันตามจุดมุ่งหมายขององค์การและตาม หน้าที่ มีสายการบังคับบัญชา มีการจัดสรรอํานาจหน้าที่ระหว่างตําแหน่งหน้าที่การบริหารต่าง ๆ หรืออาจกล่าว ได้ว่า โครงสร้างเป็นแบบแผนของความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่าง ๆ ในองค์การที่สร้างขึ้นมา โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อสนับสนุนการดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์การให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้

โครงสร้างองค์การจะช่วยขจัดความไม่ชัดเจนต่าง ๆ ของบทบาทหน้าที่ ทําให้การปฏิบัติงาน ขององค์การสามารถบรรลุเป้าหมายที่กําหนดไว้ ก่อให้เกิดความร่วมมือในการทํางานในองค์การ การจัดองค์การ มีระเบียบขั้นตอนการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งแก้ปัญหาข้อบกพร่องในการดําเนินงานได้เป็นอย่างดี ดังนั้นโครงสร้างองค์การจึงเป็นพื้นฐานที่สําคัญในการบริหาร ถ้าองค์การมีโครงสร้างที่เหมาะสม มีการจัดโครงสร้าง ที่ชัดเจนสมดุลกับปริมาณงานที่มีอยู่ในองค์การแล้ว ก็จะช่วยให้การบริหารงานในองค์การประสบความสําเร็จ

3 เทคโนโลยี ถือเป็นปัจจัยที่มีบทบาทสําคัญในการทํางาน โดยในปัจจุบันมีการนํา เครื่องจักรมาใช้แทนที่คนงานระดับล่าง ทําให้การผลิตหรือการทํางานมีความรวดเร็วขึ้น การนําเทคโนโลยีมาใช้ใน การทํางานทําให้องค์การต้องมีการออกแบบองค์การใหม่ และบุคคลในองค์การจะต้องมีการฝึกฝนพัฒนาตนเอง เพื่อเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นองค์การจึงจําเป็นต้องมีการพัฒนา องค์การด้วยวิธีการดังนี้

1) การจัดการคุณภาพ (Total Quality Management หรือ TQM) เป็นการพัฒนา กระบวนการทํางานให้ต่อเนื่องกัน เพื่อลดความแตกต่างระหว่างผู้ปฏิบัติงานด้วยกัน ตลอดจนให้มีมาตรฐานใน การผลิตและการให้บริการในแนวเดียวกัน ซึ่งจะทําให้ต้นทุนในการผลิตลดลงและผลผลิตมีคุณภาพมากขึ้น

2) การรื้อปรับระบบ (Reengineering) เป็นการปรับระบบในองค์การโดยการคิดใหม่ ตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน มีการทํางานและกระบวนการใหม่ ๆ โดยนําเอาเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการทํางาน

3) ระบบการผลิตแบบยืดหยุ่น (Flexible Manufacturing System) เป็นระบบ การผลิตที่จะสามารถผลิตสินค้าที่มีปริมาณน้อย แต่ใช้ต้นทุนต่ําหรือมีต้นทุนต่อหน่วยเหมือนกับการผลิตจํานวนมาก ในการผลิตแบบนี้องค์การสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ โดยที่องค์การไม่จําเป็นที่จะต้องผลิตสินค้า ในปริมาณมากอีกต่อไป

4) การพ้นสมัยของคนงาน (Worker Obsolescence) หมายถึง ความสําคัญของ พนักงานลดลง เนื่องจากการนําเทคโนโลยีที่มีพัฒนาการที่สูงขึ้นเข้ามาใช้แทนที่ ทําให้งานมีลักษณะต้องทําซ้ําและ ทําเหมือนกันทุกวัน กลายเป็นงานที่มีความสําคัญมากยิ่งขึ้น เพราะเทคโนโลยีสมัยใหม่ชาให้งานกลายเป็นงาน ในระบบอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยทําให้ผลผลิตมากขึ้นโดยการใช้พนักงานเพียงไม่กี่คน แต่เป็นพนักงานที่มีความชํานาญ ในการทํางานที่แตกต่างไปจากเดิม

4 สิ่งแวดล้อม เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อองค์การแตกต่างกันออกไป โดยสิ่งแวดล้อม ของการบริหารองค์การแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1) สิ่งแวดล้อมโดยทั่วไป เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อองค์การของรัฐทุก ๆ องค์การ มีลักษณะเป็นสิ่งแวดล้อมร่วมของสังคมที่ทุก ๆ หน่วยงานจะต้องเผชิญ เช่น ลักษณะของวัฒนธรรมประเพณี ค่านิยมของคนในชาติ สภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การศึกษา ภูมิศาสตร์ของประเทศ เป็นต้น

2) สิ่งแวดล้อมที่มีลักษณะเฉพาะ เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลโดยตรงและมักจะมีความ สัมพันธ์ต่อองค์การในลักษณะที่ค่อนข้างเป็นทางการ เช่น จํานวนทรัพยากรที่จําเป็นเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการ บริหารงานในหน่วยงานนั้น ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานนั้น ๆ กับองค์การอื่น ๆ ในสังคม

 

ข้อ 2 ให้เลือกตอบเพียง 1 ข้อ

ก จงอธิบายหลักการบริหารจากแนวคิดของ Henri Fayol มาโดยละเอียด

แนวคําตอบ

Henri Fayol เป็นนักอุตสาหกรรมชาวฝรั่งเศส เขาได้เสนอกระบวนการบริหารของนักบริหาร ไว้ 5 ประการ หรือเรียกว่า “POCCC” ได้แก่

1 P = Planning คือ การวางแผน

2 O = Organizing คือ การจัดองค์การ

3 C = Commanding คือ การบังคับบัญชา

4 C = Coordinating คือ การประสานงาน

5 C = Controlling คือ การควบคุมงาน นอกจากนี้ Fayol ยังได้เสนอหลักการบริหารทั่วไป 14 ประการ ได้เก่

1 การมีเอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command)

2 การมีเอกภาพในการสั่งการ (Unity of Direction)

3 การแบ่งงานกันทํา (Division of Work)

4 การรวมอํานาจไว้ที่ส่วนกลาง (Centralization)

5 อํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบ (Authority and Responsibility) 6 ความเสมอภาค (Equity)

7 สายการบังคับบัญชา (Scalar Chain)

8 การให้ผลประโยชน์ตอบแทน (Remuneration)

9 การมีระเบียบข้อบังคับ (Order)

  1. ความมีระเบียบวินัย (Discipline)

11 ความคิดริเริ่ม (Initiative)

12 ผลประโยชน์ของบุคคลควรจะเป็นรองจากผลประโยชน์สวนราม (Subordination of Individual Interest to the General Interest)

13 ความมั่นคงในหน้าที่การงาน (Stability of Tenure of Pers(in)

14 ความสามัคคีเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน (Esprit de Corps)

จากหลักการบริหารดังกล่าวจะเห็นได้ว่า Fayol ยอมรับองค์การที่เป็นทางการ โดยใช้ประโยชน์ จากการแบ่งงานกันทํา และเน้นความสําคัญขององค์การ คือ ความเป็นระเบียบ ความมั่นคง ความคิดริเริ่ม และ ความสามัคคี นอกจากนี้หลักการบริหารของ Fayol นับเป็นหลักการของทฤษฎีที่สมบูรณ์ครั้งแรกที่ช่วยให้ผู้บริหาร สามารถวางระเบียบแบบแผนและหลักเกณฑ์ที่จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถรวบรวมทรัพยากรต่าง ๆ และบุคคลเข้ามา รวมอยู่ในองค์การให้สามารถทํางานโดยมีประสิทธิภาพจนบรรลุเป้าหมายที่กําหนดได้

 

ข “ค่านิยมของระบบราชการ” มีอะไรบ้าง เกี่ยวข้องกับ “The Changing Nature of Work” หรือไม่อย่างไร จงอธิบาย

แนวคําตอบ

ค่านิยมของระบบราชการ

หากพิจารณาแนวคิดของนักคิดในยุคต่าง ๆ เกี่ยวกับค่านิยมของการบริหารในระบบราชการ สามารถสรุปแนวทางหรือหลักการของระบบราชการได้ดังนี้

1 หลักเหตุผล (Rationality) ระบบราชการที่มีสมรรถนะสูงจะต้องเป็นระบบราชการ ที่อาศัยหลักเหตุผลในการดําเนินการตัดสินใจ ซึ่งเป็นข้อสรุปที่สอดคล้องกันของนักคิดรัฐประศาสนศาสตร์ตั้งแต่ ยุคคลาสสิกจนถึงยุคสมัยใหม่ เนื่องจากนักคิดส่วนใหญ่มีความเข้าใจว่าการบริหารงานในภาครัฐเป็นเรื่องที่มี ความสลับซับซ้อน ดังนั้นการจะแก้ปัญหาในการบริหารได้จําเป็นจะต้องอาศัยหลักเหตุผล เช่น ข้อเสนอของ Taylor ซึ่งได้พยายามที่จะนําเอาหลักวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการบริหารงาน โดยเชื่อว่าหลักวิทยาศาสตร์ จะสามารถสร้างการบริหารงานที่มีเหตุผลจนนําไปสู่การบรรลุประสิทธิผลขององค์การได้ หรือผลงานของ Weber ได้นําเสนอการใช้หลักเหตุผลในการบริหารงานในองค์การขนาดใหญ่ เช่น การบริหารงานที่คํานึงถึงกฎระเบียบ แบบแผนที่ชัดเจนตายตัว การบริหารงานที่คํานึงถึงความสัมพันธ์ที่เป็นทางการตามที่ระบุไว้ในสายการบังคับบัญชา เป็นต้น แม้แต่แนวคิดการบริหารงานในยุคปัจจุบันก็ยังให้ความสําคัญกับการบริหารงานตามหลักเหตุผล เช่น การนําเสนอหลักการตัดสินใจที่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การวิเคราะห์แบบเป็นระบบ หรือการบริหารงาน ที่อาศัยคณิตศาสตร์ เป็นต้น

2 หลักประสิทธิภาพ (Efficiency) การบริหารงานที่ต้องคํานึงถึงหลักประสิทธิภาพ ได้เก่ การมีสมรรถนะ (Competence) การเพิ่มผลผลิต (Productivity) การมีสมรรถภาพ (Capable) หรือ การบริหารงานที่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย แรงงาน หรือวัสดุอุปกรณ์ให้น้อยที่สุด ถือเป็นหลักการที่สําคัญในการ บริหารงานในระบบราชการ ด้วยเหตุนี้แนวคิดการบริหารงานของน้าติดในยุคต่าง ๆ จึงพยายามคิดค้นแนวทาง เพื่อทําให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารงานไม่ว่าจะเป็นแนวคิดของนักคิดยุคคลาสสิกที่นําเสนอให้มีการแบ่งงาน กันทําตามความถนัด การสร้างแรงจูงใจให้แก่พนักงานโดยจ่ายค่าตอบแทนเป็นรายชิ้น แนวคิดของนักคิดยุคสมัยใหม่ ที่นําเสนอการจูงใจโดยคํานึงถึงคุณค่าทางจิตใจ หรือแนวคิดของนักคิดในยุคปัจจุบันที่นําเสนอการบริหารงาน ภายใต้ระบบประกันคุณภาพ ได้แก่ ISO 9000, 9001, 9002 และ PSO รวมทั้งการบริหารงานโดยการควบคุม คุณภาพแบบครบวงจร (TQM) เป็นต้น

3 ยึดหลักการในการปฏิบัติงาน (Principle Mindedness) ระบบราชการที่มีประสิทธิภาพ และคํานึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนส่วนรวมจะต้องบริหารงานโดยอาศัยหลักกฎหมาย เพื่อให้ความเสมอภาค แก่บุคคลทั่วไป โดยไม่คํานึงถึงเรื่องส่วนตัว ซึ่งสอดคล้องกับข้อเสนอของ Weber มองว่า การบริหารราชการใน ประเทศที่พัฒนาแล้ว ข้าราชการจะยึดหลัก Principle Mindedness กล่าวคือ จะละทิ้งเรื่องส่วนตัว สนใจเรื่อง ส่วนรวม ซึ่งตรงกันข้ามกับการบริหารราชการในประเทศกําลังพัฒนาที่มักมีการเลือกใช้กฎหมาย และข้าราชการ คํานึงถึงเรื่องส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม

4 หลักการมีส่วนร่วมในการบริหาร (Participation) หลักการนี้ถือเป็นความแตกต่าง ที่ชัดเจนของแนวคิดการบริหารราชการของนักคิดในอดีตและปัจจุบัน กล่าวคือ นักคิดในยุคคลาสสิกมุ่งเน้นการ แบ่งงานกันทําและการเคร่งครัดกับการทํางานที่ยึดติดกับสายการบังคับบัญชาจึงส่งผลให้การบริหารงานในองค์การ

มีลักษณะของการรวมอํานาจ แต่นักคิดในยุคปัจจุบันให้ความสําคัญกับความเป็นประชาธิปไตยจึงส่งผลให้แนวคิด การบริหารงานอยู่บนพื้นฐานของการกระจายอํานาจและเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน –

5 หลักผลประโยชน์สาธารณะ (Public Interest) ถือเป็นองค์ประกอบสําคัญที่ช่วยให้ การบริหารในระบบราชการมีความชอบธรรมและได้รับการสนับสนุนจากสังคม ในอดีตนักคิดในยุคคลาสสิก ไม่ค่อยให้ความสนใจกับเรื่องของผลประโยชน์สาธารณะ แต่กลุ่มนักคิดสมัยใหม่กลับพยายามนําเสนอการบริหาร ที่คํานึงถึงผลประโยชน์สาธารณะ และการบริหารที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาของสังคม เช่น ข้อเสนอของ (Ostrom เป็นการนําเสนอการบริหารแบบประชาธิปไตย คํานึงถึงการมีส่วนร่วมและผลประโยชน์สาเธารณะ

6 หลักความเสมอภาคทางสังคม (Social Equity) เป็นแนวคิดที่ได้เสนอเพื่อช่วยเหลือ ประชาชนที่เสียเปรียบทางสังคม โดยเห็นว่าประชาชนในประเทศควรมีโอกาสเท่าเทียมกัน ตามหลักการดังกล่าว เป็นการเปิดโอกาสให้คนที่เสียเปรียบมีโอกาสมากขึ้น ส่งผลให้สังคมน่าอยู่ และเป็นการคํานึงถึงคนส่วนน้อย ซึ่ง สอดคล้องกับข้อสังเกตของนักคิดสมัยใหม่ เช่น Rehfuss และ Shick ที่เสนอให้การบริหารงานในภาครัฐมุ่งเน้น การสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม

จากค่านิยมของระบบราชการดังกล่าว ทําให้โครงสร้างองค์การแบบระบบราชการหรือองค์การ แบบ Bureaucracy โดยเฉพาะตามแนวคิดของนักคิดยุคคลาสสิก มีการบริหารงานที่คํานึงถึงระเบียบแบบแผน ที่ชัดเจนตายตัว คํานึงถึงความสัมพันธ์ที่เป็นทางการตามสายการบังคับบัญชา มีการแบ่งงานกันทําตามความถนัด มีการรวมศูนย์อํานาจ ฯลฯ ซึ่งลักษณะโครงสร้างองค์การดังกล่าวไม่มีประสิทธิภาพและไม่มีความเหมาะสมกับ องค์การในอนาคต ดังนั้นจึงต้องมีการจัดโครงสร้างองค์การใหม่และมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะงาน (The Changing Nature of Work) ขององค์การแบบ Eureaucracy ไปเป็นแบบ Post Bureaucracy เพื่อให้การบริหารงาน ในองค์การมีประสิทธิภาพ สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม มีความสามารถในการแข่งขันกับองค์การอื่น และ สามารถแข่งขันกับความก้าวหน้าได้

การเปลี่ยนแปลงลักษณะของงานจาก Bureaucracy ไปเป็น Post Bureaucracy มีลักษณะดังนี้

Bureaucracy

1 แรงงานไร้ฝีมือ (Unskilled Work)

2 งานที่ทําซ้ำซาก (Meaningless Repetitive Tasks)

3 งานที่ต่างคนต่างทํา (Individual Work)

4 งานที่แบ่งตามขั้นตอน (Functional-Ease Work)

5 งานที่ต้องอาศัยทักษะอย่างเดียว (Single-Skilled)

6 ยึดถืออํานาจของผู้บังคับบัญชา (Power of Bosses)

7 มีความสัมพันธ์จากส่วนบนลงลาง (Coordination from Above)

Post Bureaucracy

1 แรงงานที่มีความรู้ความสามารถ (Knowledge Work)

2 งานที่ทันสมัยและท้าทาย (Innovation and Caring)

3 มีการทํางานเป็นทีม (Teamwork)

4 มีการทํางานแบบโครงการ (Project-Base Work)

5 งานที่ต้องอาศัยความรู้หลายอย่าง (Multi-Skilled)

6 ยึดถืออํานาจของลูกค้าเป็นสําคัญ (Power of Customers)

7 ความสัมพันธ์เกิดจากผู้ร่วมงานในระดับเดียวกัน (Coordination Among Peers)

 

ข้อ 3 จงอธิบายถึงมิติของโครงสร้างองค์การว่าประกอบไปด้วยมิติใดบ้างตามข้อเสนอของ Mintzberg

แนวคําตอบ

Mintzberg ได้เสนอมิติของโครงสร้างองค์การซึ่งประกอบด้วย 5 มิติ ดังนี้

1 Strategic Apex คือ ผู้บริหารระดับสูง เป็นผู้มีบทบาทสําคัญในการกําหนดกลยุทธ์ และนโยบาย หรือทิศทางขององค์การ

2 Middle Line คือ ผู้บริหารระดับกลาง มีหน้าที่คอยประสานระหว่างผู้บริหารระดับสูง กับผู้ปฏิบัติในระดับล่าง ซึ่งในปัจจุบันผู้บริหารระดับกลางถูกลดบทบาทลงและมีจํานวนน้อยลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะ ในองค์การภาคเอกชน แต่ในทางตรงข้ามองค์การภาครัฐกลับมีคนกลุ่มนี้จํานวนมาก

3 Operating Core คือ ผู้ปฏิบัติการในระดับล่างเป็นกลุ่มคนที่มีความสําคัญในกระบวนการ ผลิต โดยมีหน้าที่ในการผลักดันให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายขององค์การ ซึ่งผู้ปฏิบัติการในระดับล่างนี้ถือเป็น ส่วนของโครงสร้างที่มีจํานวนมากที่สุดและมีโอกาสเปลี่ยนแปลงบ่อยที่สุดในองค์การ

4 Technostructure คือ ผู้เชี่ยวชาญในด้านเทคนิคการดําเนินงานขององค์การ เช่น วิศวกร โปรแกรมเมอร์ นักบัญชี นักเทคนิคการแพทย์ นักวิจัยการตลาด เป็นต้น

5 Support Staff คือ ฝ่ายอํานวยการ มีหน้าที่อํานวยความสะดวกแก่ฝ่ายงานหลัก เช่น ฝ่ายบุคคล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ฝ่ายธุรการ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เป็นต้น

ทั้งนี้ Mintzberg ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า มิติที่จัดว่าเป็นส่วนของ “สายงานหลัก” ขององค์การ จะประกอบไปด้วยส่วนที่ 1, 2 และ 3 เท่านั้น ส่วนมิติที่ 4 และ 5 เป็นเพียง “ฝ่ายสนับสนุน” ไม่มีบทบาทตาม สายการบังคับบัญชาชัดเจน ซึ่งบางองค์การอาจใช้บุคคลภายนอกมาปฏิบัติงานแทน

 

Advertisement