การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2549
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2015 กฎหมายเกี่ยวกับธุรกิจ 1
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ ข้อละ 25 คะแนน
ข้อ 1. นายสมบัติ อายุ 15 ปี ทำพินัยกรรมฉบับหนึ่งในขณะที่จิตปกติยกทรัพย์มรดกทั้งหมดของตนแก่ น.ส.ผึ้งเพื่อนรักของนายสมบัติ โดยบิดามารดาของนายสมบัติไม่ได้รู้เห็นและไม่ได้ให้ความยินยอม ในการทำพินัยกรรมนั้น สิบปีต่อมานายสมบัติป่วยเป็นโรคจิต บิดามารดาของนายสมบัติได้ร้องขอ ต่อศาลให้นายสมบัติเป็นคนไร้ความสามารถ ศาลมีคำสั่งให้นายสมบัติเป็นคนไร้ความสามารถ วันหนึ่งนายสมบัติซื้อวิทยุ 1 เครื่องจากนายชัยโดยในขณะซื้อนายสมบัติไม่มีอาการวิกลจริต และ นายชัยไม่ทราบว่านายสมบัติเป็นคนไร้ความสามารถ ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า
1) ถ้านายสมบัติถึงแก่ความตาย พินัยกรรมที่นายสมบัติทำไว้มีผลทางกฎหมายอย่างไร
2) สัญญาซื้อขายวิทยุระหว่างนายสมบัติและนายชัยมีผลทางกฎหมายอย่างไร
ธงคำตอบ
ตามปัญหามีหลักกฎหมายที่จะนำมาใช้วินิจฉัย คือ
1. ผู้เยาว์สามารถทำนิติกรรมใด ๆ ได้ทั้งสิ้นซึ่งเป็นการต้องทำเองเฉพาะตัว (ป.พ.พ.มาตรา 23)
2. ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์ (ป.พ.พ. มาตรา 25)
3. นิติกรรมใด ๆ ที่บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง นิติกรรมนั้น ตกเป็นโมฆียะ (ป.พ.พ. มาตรา 29)
ข้อเท็จจริงตามปัญหาวินิจฉัยได้ ดังนี้คือ
1) การที่นายสมบัติได้ทำพินัยกรรมในขณะที่มีอายุครบ 15 ปี และได้ทำในขณะจิตปกติแม้ว่าการทำพินัยกรรมนั้นจะไม่ได้รับความยินยอมจากบิดามารดาซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมพินัยกรรมที่นายสมบัติได้ทำขึ้นนั้นก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เพราะตามกฎหมายถือว่า การทำพินัยกรรมนั้น เป็นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเป็นการเฉพาะตัว ตาม ป.พ.พ. มาตรา 23 และในขณะที่ทำพินัยกรรม ผู้เยาว์ก็มี อายุครบ 15 ปีบริบูรณ์แล้ว ดังนั้นนายสมบัติผู้เยาว์ จึงสามารถทำพินัยกรรมได้โดยสำพังตนเอง และโดยไม่ต้องขอความยินยอมจากบิดามารดา ซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม ตาม ป.พ.พ. มาตรา 25
2) การที่นายสมบัติได้ทำสัญญาซื้อขายวิทยุกับนายชัย ในขณะที่นายสมบัติได้ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ แม้นายสมบัติจะได้ทำนิติกรรมในขณะไม่มีอาการวิกลจริต และนายชัยไม่ทราบ ว่านายสมบัติเป็นคนไร้ความสามารถ สัญญาซื้อขายวิทยุระหว่างนายสมบัติและนายชัยก็มีผลเป็นโมฆียะ เพราะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 29 นั้น คนไร้ความสามารถจะทำนิติกรรมใด ๆ ไม่ได้ทั้งสิ้น นิติกรรมที่คนไร้ความสามารถ ได้กระทำลงย่อมตกเป็นโมฆียะ
สรุป 1) พินัยกรรมที่นายสมบัติได้ทำไว้ มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย
2) สัญญาซื้อขายวิทยุระหว่างนายสมบัติและนายชัยมีผลเป็นโมฆียะ
ข้อ2. กลฉ้อฉลโดยการนิ่งมีลักษณะอันเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างไร อธิบาย ยกตัวอย่างประกอบ
ธงคำตอบ
ป.พ.พ. มาตรา 162 ได้บัญญัติหลักเกณฑ์เกี่ยวกับ “กลฉ้อฉลโดยการนิ่ง” ซึ่งจะมีลักษณะ อันเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ดังนี้ คือ
1. จะเกิดขึ้นได้เฉพาะในนิติกรรมสองฝ่ายที่เรียกว่า สัญญา เท่านั้น
2. คู่กรณีฝ่ายหนึ่งจงใจนิ่งเสียไม่ไขข้อความจริงหรือข้อคุณสมบัติอันใดอันหนึ่งซึ่งคู่กรณี อีกฝ่ายหนึ่งมิได้รู้ คือคู่กรณีฝ่ายหนึ่งนั้นได้จงใจหรือตั้งใจที่จะปกปิดข้อความจริงหรือข้อคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่ตนมีหน้าที่ที่จะต้องบอกความจริงนั้น
3. คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งพิสูจน์ได้ว่า ถ้ามิได้นิ่งเสียเช่นนั้น นิติกรรมนั้นก็คงจะมิได้ทำขึ้นเลย
ตัวอย่าง. เช่น ในสัญญาประกันชีวิต ผู้เอาประกันชีวิตเคยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลด้วย
โรคมะเร็งในเม็ดโลหิตขาว ไม่มีทางรักษา และอาจตายได้ภายใน 7 วัน 6 เดือนหรืออย่างช้า 5 ปี ซึ่งผู้เอาประกันชีวิต มีหน้าที่ต้องเปิดเผยความจริงข้อนี้แก่ผู้รับประกันภัย แต่ได้ปกบัดความจริงไม่เปิดเผยให้ผู้รับประกันภัยได้ทราบ ความจริงนั้น
ข้อ3. ให้นักศึกษาอธิบายว่าสัญญาดังต่อไปนี้ มีผลในทางกฎหมายเป็นอย่างไร พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน ทุกข้อ
ก) นายเอกตกลงทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับนายโทในราคา 1 ล้านบาท โดยปากเปล่า (10 คะแนน)
ข) นายดินตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับนายน้ำโดยปากเปล่า (15 คะแนน)
ธงคำตอบ
ก) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคแรกบัญญัติหลักไว้ว่า
“สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้าไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ ”
ตามปัญหาการที่นายเอกตกลงทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับนายโทนั้น เป็นการตกลงทำสัญญา ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งตามกฎหมายสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์จะมีผลสมบูรณ์จะต้องได้ทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที ดังนั้นเมื่อสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ระหว่างนายเอกและนายโทที่ได้ตกลง โดยปากเปล่ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้า1หน้าที่จึงตกเป็นโมฆะ
ข) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรค 2 ได้บัญญัติหลักไว้ว่า “สัญญา จะซื้อหรือจะขายอสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใด ลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับ คดีกันไม่ได้”
ตามปัญหา สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายดินกับนายน้ำเป็นสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งแม้จะตกลงกันโดยปากเปล่าก็มีผลสมบูรณ์ เพียงแต่ไม่มีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีกันเท่านั้น เพราะตามกฎหมายสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์นั้น จะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ จะต้องมีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่
1) หลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ
2) มีการวางประจำไว้ หรือ
3) มีการชำระหนี้บางส่วน
สรุป ก) สัญญาซื้อชายที่ดินระหว่างนายเอกกับนายโทที่ตกลงโดยวาจาเป็นโมฆะ
ข) สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายดินกับนายน้ำซึ่งเป็นสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์ มีผลสมบูรณ์ แต่ไม่มีหลักฐานที่จะใช้ฟ้องร้องบังคับคดีกัน
ข้อ 4. ให้นักศึกษาเลือกทำเพียงข้อเดียว
ก) มาตรา 949 บัญญัติว่า “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 1009 บุคคลผู้ใช้เงินในเวลาถึงกำหนดย่อมเป็นอันหลุดพ้นจากความรับผิด เว้นแต่ตนจะได้ทำการฉ้อฉลหรือมีความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง อนึ่งบุคคลซึ่งกล่าวนี้จำต้องพิสูจน์ให้เห็นจริงว่าได้มีการสลักหลังติดต่อกัน เรียบร้อยไม่ขาดสาย แต่ไม่จำต้องพิสูจน์ลายมือชื่อของเหล่าผู้สลักหลัง”
ท่านเข้าใจว่าอย่างไร จงอธิบายหลักกฎหมายพอสังเขป และยกตัวอย่างประกอบ
หรือ ข) ผู้ทรงเช็คยื่นเช็คแก่ธนาคารเพื่อให้ใช้เงินเกินเวลา 1 เดือนนับแต่วันออกเช็ค (สำหรับเช็คที่ออก ในเมืองหรือจังหวัดเดียวกัน) จะมีผลต่อผู้สลักหลังเช็ค ผู้สั่งจ่ายเช็คนั้นอย่างไรบ้าง จงอธิบาย หลักกฎหมายพอสังเขป
ธงคำตอบ
ก) ตาม ป.พ.พ. มาตรา 949 นั้น เป็นเรื่องของการใช้เงินตามตั๋วเงินเมื่อตั๋วเงินนั้นได้ถึงกำหนด เวลาใช้เงิน ซึ่งถ้าบุคคลที่มีหน้าที่ในการใช้เงินได้ใช้เงินไปถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ก็จะหลุดพ้น จากความรับผิดชอบตามตั๋วเงิน คือ ไม่ต้องรับผิดชอบในการใช้เงินตามตั๋วเงินนั้นอีกเลย
ตามบทบัญญัติของมาตรา 949 นั้น สามารถแยกออกได้ 2 กรณี คือ
1. ถ้าเป็นกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ใช้เงินตามตั๋ว เช่น ธนาคารผู้จ่ายเงินตามเช็ค เป็นต้น กฎหมายได้บัญญัติให้ใช้มาตรา 1009 บังคับ จะไม่ใช้มาตรา 949 บังคับ
2. ถ้าเป็นกรณีที่บุคคลอื่นซึ่งมิใช่ธนาคารเป็นผู้ใช้เงิน เช่น ผู้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงิน เป็นต้น ดังนี้กฎหมายให้ใช้บทบัญญัติมาตรา 949 บังคับ
และตามบทบัญญัติของมาตรา 949 นี้ หมายความว่า บุคคลผู้ใช้เงินตามตั๋วเงินจะหลุดพ้น จากความรับผิดได้นั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 3 ประการ ดังต่อไปนี้ คือ
1. จะต้องได้ใช้เงินไปเมื่อตั๋วนั้นถึงกำหนดชำระเงินแล้ว
2. จะต้องเป็นการใช้เงินไปโดยสุจริต กล่าวคือ มิได้ทำการฉ้อฉลหรือประมาทเลินเล่อ อย่างร้ายแรง และ
3. จะต้องพิสูจน์ให้เห็นจริงว่า ตั๋วนั้นได้มีการสลักหลังติดต่อกันเรียบร้อยไม่ขาดสาย แต่ ไม่จำต้องพิสูจน์ลายมือชื่อของบรรดาผู้สลักหลังแต่อย่างใด
ตัวอย่าง ดำออกตั๋วแลกเงินสั่งให้แดงจ่ายเงินให้แก่ขาวจำนวน 100,000 บาท ต่อมาได้มีการโอน ตั๋วแลกเงินฉบับนี้โดยการสลักหลังและส่งมอบทุกครั้ง จนกระทั่งตั๋วฉบับนี้ได้มาอยู่ในความครอบครองของ เหลืองซึ่งเป็นผู้ทรง ดังนั้นแม้จะปรากฏข้อเท็จจริงว่าในการสลักหลังครั้งหนึ่งจะเป็นการสลักหลังปลอมก็ตาม
เมื่อตั๋วถึงกำหนดใช้เงิน เหลืองได้นำตั๋วไปยื่นให้แดงจ่ายเงิน และแดงได้จ่ายเงินให้แก่เหลืองไปแล้วโดยถูกต้อง ตามหลักเกณฑ์ 3 ประการดังกล่าวข้างต้น แดงก็ย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดในการใช้เงินตามตั๋วเงินไปตามป.พ.พ. มาตรา 949
ข) ป.พ.พ. มาตรา 990 วรรคแรก ได้บัญญัติหลักเกี่ยวกับการยื่นเช็คแก่ธนาคารเพื่อให้ใช้เงินไว้ ว่า “ผู้ทรงเช็คต้องยื่นเช็คแก่ธนาคารเพื่อให้ใช้เงิน คือว่าถ้าเป็นเช็คให้ใช้เงินในเมืองเดียวกันกับที่ออกเช็คต้องยื่น ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันออกเช็คนั้น ถ้าเป็นเช็คให้ใช้เงินที่อื่นต้องยื่นภายในสามเดือน ถ้ามิฉะนั้นท่านว่าผู้ทรง สิ้นสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาแก่ผู้สลักหลังทั้งปวง ทั้งเสียสิทธิอันมีต่อผู้สั่งจ่ายด้วยเพียงเท่าที่จะเกิดความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ผู้สั่งจ่ายเพราะการที่ละเลยเสียไม่ยื่นเช็คนั้น”
จากหลักกฎหมายดังกล่าว ในกรณีที่เป็นเช็คที่ออกและให้ใช้เงินในเมืองหรือจังหวัดเดียวกันนั้น ผู้ทรงเช็คจะต้องยื่นเช็คแก่ธนาคารเพื่อให้ธนาคารใช้เงินภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันออกเช็ค ถ้าผู้ทรงเช็คละเลยไม่ยืนเช็คภายในกำหนดเวลาดังกล่าว จะมีผลต่อผู้สลักหลังเช็ค และผู้สั่งจ่ายเช็คดังนี้คือ
1. ผู้ทรงเช็คจะสิ้นสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ผู้สลักหลังทั้งปวง และ
2. ผู้ทรงเช็คจะเสียสิทธิอันมีต่อผู้สั่งจ่ายเช็คเพียงเท่าที่จะเกิดความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใด แก่ผู้สั่งจ่ายเช็คนั้น