การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2102 หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

Advertisement

คําสั่ง ข้อสอบเป็นแบบอัตนัยมี 3 ข้อ ให้นักศึกษาเลือกทําเพียง 2 ข้อ

ข้อ 1 “ประชาธิปไตย Democracy” มีหลักการสําคัญอย่างไร อธิบาย แนวคําตอบ (หน้า 48 – 50), (เอกสารหมายเลข P-2102 หน้า 9 – 12), (คําบรรยาย)

ระบอบการปกครองในปัจจุบัน มี 3 ระบอบ คือ

1 ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือระบอบราชาธิปไตย (Absolute Monarchy)

2 ระบอบอํานาจนิยม (Authontarianism) หรือระบอบเผด็จการ (Dictatorship) โดยแบ่งเป็น เผด็จการฝ่ายซ้าย เรียกว่า ระบอบคอมมิวนิสต์ และเผด็จการฝ่ายขวา เรียกว่า ระบอบฟาสซิสต์ (ทหาร)

3 ระบอบประชาธิปไตย (Democracy)

ในที่นี้จะอธิบายเฉพาะระบอบประชาธิปไตย

แนวคิดของระบอบประชาธิปไตย

1 ทฤษฎีอํานาจอธิปไตยของปวงชน (Popular Sovereignty) ของจอห์น ล็อค (John LOCK)

2 ทฤษฎีสัญญาประชาคม (Social Contract Theory) ของรุสโซ (Jean Jacques Roussean)

คําว่า “ประชาธิปไตย” (Democracy) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คํา คือ คําว่า “Demos” แปลว่า ประชาชน (People) ราษฎร หรือพลเมือง กับ คําว่า “Kratos, Kratien” แปลว่า ปกครอง (to Rule) หรืออํานาจ ดังนั้นความหมายของประชาธิปไตยจึงหมายถึง การปกครองที่ประชาชนเป็นเจ้าของอํานาจรัฐหรือ อํานาจอธิปไตย โดยผ่านการเลือกตั้ง (Election) แบบอิสรเสรี เสมอภาค และลงคะแนนลับ

หลักการสําคัญพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย มีดังนี้

1 หลักอํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตย (อํานาจสูงสุด) เป็นของประชาชน การปกครอง ที่เป็นประชาธิปไตยจะต้องตั้งอยู่บนหลักการหรืออุดมการณ์ทางการเมืองที่ถือว่า อํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตเป็นของประชาชน โดยผ่านการเลือกตั้ง (Election) ลักษณะดังกล่าวนี้จะมีวิธีการปกครองที่แสดงออกให้เห็นว่า ประชาชนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ สามารถควบคุมและตรวจสอบการทํางานของรัฐบาลได้ ตลอดจนสามารถ เปลี่ยนแปลงและถอดถอนรัฐบาลได้ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ประชาชนสามารถเลือกตั้งประธานาธิบดี หรือ เปลี่ยนแปลงประธานาธิบดีได้ทุก 4 ปี หรือประชาชนญี่ปุ่นที่สามารถเลือกผู้แทนราษฎรเพื่อไปจัดตั้งรัฐบาลในเวลาไม่เกิน 4 ปี ซึ่งจะเห็นได้ว่าในหลักการอํานาจสูงสุดเป็นของประชาชนนี้ประชาชนต้องมี “อํานาจการตัดสินใจ ขั้นสุดท้าย” คือ ประชาชนอาจเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางนิติบัญญัติและบริหารของรัฐ และการตัดสินใจของ ประชาชนถือว่าเป็นที่สิ้นสุดเด็ดขาด

2 หลักสิทธิ (Right) หน้าที่ (Duty) เสรีภาพ (Liberty) และความเสมอภาค (Equality) ของประชาชน เป็นหลักการที่ถือว่ามนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพมาตั้งแต่เกิด และต่อมาถูกจํากัดโดยกฎหมายหรือ กฎเกณฑ์ของสังคมภายหลัง ด้วยเหตุนี้ประเทศที่ยึดถือการปกครองระบอบประชาธิปไตยจึงได้มีกฎหมายเป็น หลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ เช่น การบัญญัติในรัฐธรรมนูญเรื่องเสรีภาพในการแสดงออกไม่ว่าจะเป็นด้านความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์โฆษณา การรวมกลุ่มจัดตั้งพรรคการเมือง การเลือกตั้ง และการใช้สิทธิ ทางการเมือง ซึ่งในกรณีของสิทธิเสรีภาพนี้มีข้อสังเกตก็คือ เสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยนั้นมิใช่เป็นเสรีภาพ ที่จะทําอะไรได้ทุกอย่างโดยไม่มีขอบเขต แต่เป็นเสรีภาพที่มีขอบเขตภายใต้กฎหมายที่บุคคลจะใช้สิทธิเสรีภาพ ของตนนั้นจะต้องไม่ไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่นด้วย มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นการจลาจล ซึ่งในหลักประกัน สิทธิเสรีภาพต่าง ๆ นี้จะรวมทั้งความเสมอภาคทางการเมือง เพราะเสรีภาพที่ประชาชนมีเท่า ๆ กันก็จะก่อให้เกิด ความเสมอภาคทางการเมือง คือ การที่แต่ละคนมีสิทธิและหน้าที่ที่จะเข้าร่วมในกิจกรรมทางการเมืองเท่า ๆ กัน โดยในระบอบประชาธิปไตยถือว่าแต่ละคนมีสิทธิในการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้ปกครอง หรือผู้แทน ประชาชนเท่ากันตามหลัก One Man One Vote และสําหรับหลักการนี้ยังจะต้องประกอบด้วย การที่ประชาชน จะต้องรู้จักหน้าที่ของพลเมืองในการดําเนินการต่าง ๆ ตามกฎหมายในระบอบประชาธิปไตยด้วย เช่น การมีหน้าที่ ในการเสียภาษีในอัตราที่เท่าเทียมกับคนอื่นซึ่งอยู่ในเกณฑ์รายได้และสถานภาพอื่นพอ ๆ กัน

3 หลักกฎหมายสูงสุด หรือหลักการปกครองโดยกฎหมาย หรือหลักนิติรัฐ หรือหลัก นิติธรรม (Rule of Law) การปกครองระบอบประชาธิปไตยจะเป็นการปกครองที่ไม่ยึดตัวบุคคล แต่ยึดหลักการเป็นสิ่งสําคัญ ซึ่งหลักการอย่างหนึ่งของการปกครองระบอบนี้ก็คือ การยึดถือกฎหมายเป็นหลักสูงสุดในการปกครอง ที่ถือว่าประชาชนเสมอภาคเท่าเทียมกันทุกคน หรือเรียกว่าเป็นการปกครองโดยกฎหมายหรือหลักนิติรัฐหรือ หลักนิติธรรมที่ประชาชนทุกคนต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศ ซึ่งหลักการสูงสุดของกฎหมายนี้ ยังรวมไปถึงการที่ศาลหรือกระบวนการยุติธรรมมีความเป็นอิสระในการพิจารณาคดีต่าง ๆ อันแสดงให้เห็นถึงว่า ศาลสามารถจะเป็นหลักประกันความยุติธรรมให้กับประชาชน หรือเป็นที่พึ่งของประชาชนภายในประเทศได้ นั่นคือ ในการตัดสินลงโทษจะใช้กระบวนการยุติธรรม มิใช่ตัดสินโดยบุคคลใดหรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ตลอดจนรวมถึงการมีหลักกฎหมายที่มีการควบคุมมิให้กฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญด้วย โดยองค์กรที่ทําหน้าที่ควบคุมกฎหมายมิให้ขัดต่อ รัฐธรรมนูญนี้อาจจะเป็นองค์กรการเมือง ศาลยุติธรรมธรรมดาหรือศาลรัฐธรรมนูญ หรือคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเป็นพิเศษก็ได้ ทั้งนี้สุดแล้วแต่แนวความคิดเห็นและประเพณีนิยมทางการเมืองของแต่ละประเทศ เพื่อให้ความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญซึ่งวางหลักแห่งกฎหมายและหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน ได้รับการปฏิบัติและเกิดผลอย่างจริงจัง

4 หลักเสียงข้างมาก (Majority Rule) โดยคํานึงถึงเสียงข้างน้อย (Minority Right) หมายความว่า พรรคเสียงข้างมากทําหน้าที่เป็นผู้ปกครองหรือรัฐบาล และพรรคเสียงข้างน้อยทําหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน ในระบอบประชาธิปไตยถือว่าฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านมีความสําคัญเท่ากัน เพราะต่างก็เป็นตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้ง โดยประชาชนเช่นเดียวกัน และกลุ่มฝ่ายค้านก็สามารถเป็นรัฐบาลได้ในวันข้างหน้า นอกจากนี้คําว่าหลักเสียงข้างมาก ยังเป็นข้อยุติในปัญหาต่างๆ สําหรับระบอบประชาธิปไตยอีกด้วย ดังนั้นการตัดสินใจทั้งหลายของรัฐบาลใน ระบอบประชาธิปไตยจึงต้องใช้หลักการเสียงข้างมาก เพราะถือว่ามนุษย์เป็นผู้มีเหตุผลอยู่ในตัว และเสียงการตัดสินใจ โดยคนหมู่มากนั้นย่อมถูกต้องกว่าการตัดสินใจโดยคน ๆ เดียว แต่ในขณะเดียวกันการใช้เสียงข้างมากก็จะ คํานึงถึงเสียงข้างน้อยด้วย โดยการเคารพและไม่ละเมิดสิทธิของเสียงข้างน้อย รวมทั้งยังยอมรับให้ฝ่ายเสียงข้างน้อย ได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและแสดงความต้องการของตนด้วย โดย

5 หลักสันติวิธี เป็นหลักการที่เชื่อว่าพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยรู้จักใช้เหตุผล ไม่ทําอะไรตามอารมณ์และความรู้สึก และไม่ทําอะไรเอาแต่ใจตนเองโดยไม่คํานึงถึงคนอื่น นอกจากนี้ยังยอมรับว่าคนเรา จะเหมือนกันไม่ได้ อาจมีการขัดแย้ง ต้องมีการเจรจา และประนีประนอม ด้วยเหตุนี้ประเทศที่ยึดถือการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยจึงดําเนินการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ โดยสันติวิธีด้วยการไม่ใช้กําลังความรุนแรง เช่น การเจรจา การประนีประนอม การใช้กลไกการเลือกตั้ง เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน ในทุก ๆ กลุ่ม ป้องกันการสูญเสียเลือดเนื้อและบาดเจ็บล้มตาย

โดยสรุปแล้ว การปกครองระบอบประชาธิปไตยจะเป็นการปกครองที่ถือหลักการว่าประชาชน เป็นเจ้าของอํานาจรัฐหรืออํานาจอธิปไตยในการดําเนินการปกครองประเทศ โดยตั้งอยู่บนหลักการสําคัญพื้นฐาน อย่างน้อย 5 ประการดังกล่าว

การปกครองดังกล่าวนี้ได้มีวิธีการปกครองที่หลายประเทศนําไปกําหนดเป็นรูปแบบการ ปกครองของประเทศตน ซึ่งรูปแบบของระบอบประชาธิปไตยแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ หรือ 3 ระบบ ได้แก่

1 ระบบรัฐสภา (Parliamentarianism/Parliamentary System) โดยมีประเทศอังกฤษเป็นแม่แบบ

2 ระบบประธานาธิบดี (Presidential System) โดยมีประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นแม่แบบ

3 ระบบกึ่งประธานาธิบดี-ถึงรัฐสภา (Semi-Presidential and Semi-Parliamentary System) โดยมีประเทศฝรั่งเศสเป็นแม่แบบ

กรณีประเทศไทย นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบันปี พ.ศ. 2556 ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรทั้งสิ้น 18 ฉบับ โดยรัฐธรรมนูญฉบับที่ 18 (ฉบับปัจจุบัน) คือ รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญของไทยทุกฉบับกําหนดให้ใช้รูปแบบของระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาแบบอังกฤษ

หมายเหตุ รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 (ฉบับที่ 16) และรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 (ฉบับที่ 18) เป็นประชาธิปไตยแบบสวิตเซอร์แลนด์ คือ เป็นประชาธิปไตยการเมืองภาคพลเมือง เช่น มีประชามติ หรือมติมหาชน (Referendum) ส่วนฉบับอื่น ๆ นั้น บางฉบับอาจมีเนื้อหาเป็นประชาธิปไตยแบบไทย ๆ หรือ ถึงเผด็จการ เรียกว่า Authoritarian Democracy

 

ข้อ 2 อธิบายการเมืองระบบรัฐสภา (Parliamentary System)

แนวคําตอบ

ระบบการเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ หรือ 3 ระบบ ได้แก่

1 ระบบรัฐสภา (Parliamentarianism/Parliamentary System) โดยมีประเทศอังกฤษเป็นแม่แบบ

2 ระบบประธานาธิบดี (Presidential System) โดยมีประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นแม่แบบ

3 ระบบกึ่งประธานาธิบดี-กึ่งรัฐสภา (Semi-Presidential and Semi-Parliamentary System) โดยมีประเทศฝรั่งเศสเป็นแม่แบบ

ในที่นี้จะอธิบายเฉพาะระบบรัฐสภา

การเมืองระบบรัฐสภา (Parliamentary System) หรือการเมืองระบบแบ่งแยกอํานาจผ่อนคลาย เป็นรูปแบบของการเมืองที่อังกฤษเป็นแม่แบบที่เรียกว่า “ระบบรัฐสภาคลาสสิก” ซึ่งในการเมืองระบบนี้จะถือว่า รัฐสภาเป็นองค์กรการเมืองที่มีความสําคัญกว่าองค์กรอื่น ๆ ในแง่ที่ว่าเป็นองค์กรที่แสดงถึงเจตนารมณ์ของประชาชน ฉะนั้นโดยหลักการแล้วรัฐบาลที่ปกครองและบริหารประเทศจะต้องเป็นรัฐบาลที่ได้รับความไว้วางใจจากรัฐสภา หรือเป็นรัฐบาลที่บริหารงานด้วยความรับผิดชอบต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นองค์กรผู้แทนจากประชาชนนั่นเอง

ขั้นตอน/กระบวนการของการเมืองระบบรัฐสภา มีดังนี้

1 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

2 สภาผู้แทนราษฎรประชุมเลือกนายกรัฐมนตรี

3 นายกรัฐมนตรีจัดตั้งคณะรัฐมนตรี

4 คณะรัฐมนตรีเสนอนโยบายรัฐบาลให้รัฐสภาเห็นชอบ

5 ครบวาระเลือกตั้งใหม่ หรือยุบสภาผู้แทนราษฎรเลือกตั้งใหม่

หลักการสําคัญของการเมืองระบบรัฐสภา มีดังนี้

1 อํานาจอธิปไตยแยกตามหน้าที่ กล่าวคือ อํานาจรัฐไม่ได้รวมไว้ในองค์กรเดียว แต่มีการแยกให้แต่ละองค์กรเป็นผู้ใช้อํานาจ เช่น อํานาจบริหารใช้โดยรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี อํานาจนิติบัญญัติใช้โดย ฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภา และอํานาจตุลาการใช้โดยผู้พิพากษาในศาล เป็นต้น

2 การแยกอํานาจไม่แยกโดยเด็ดขาด กล่าวคือ อํานาจหน้าที่ต่าง ๆ ของรัฐจะถูกแจกจ่าย ให้องค์กรต่าง ๆ กัน โดยองค์กรเหล่านี้ไม่แยกกันโดยเด็ดขาด

3 อํานาจที่แบ่งแยกนี้จะมีการถ่วงดุลซึ่งกันและกัน กล่าวคือ องค์กรที่ใช้อํานาจรัฐเหล่านี้ มีลักษณะควบคุมตรวจสอบและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน เช่น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สามารถเปิดอภิปราย ไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะได้ หรือนายกรัฐมนตรีสามารถยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ เป็นต้น

วิธีการของการเมืองระบบรัฐสภา มีดังนี้

1 ประมุขของรัฐ (Head of State) และประมุขฝ่ายบริหารหรือประมุขรัฐบาล (Head of Government) จะแยกกัน เช่น ประมุขของรัฐเรียกว่าพระมหากษัตริย์ อย่างเช่น อังกฤษ ไทย หรือเรียกว่า พระจักรพรรดิ อย่างเช่น ญี่ปุ่น หรือเรียกว่าประธานาธิบดี อย่างเช่น อินเดีย สิงคโปร์ เยอรมนี ส่วนตําแหน่งประมุข ฝ่ายบริหารหรือประมุขรัฐบาลจะเรียกว่านายกรัฐมนตรี เป็นต้น

2 ประมุขของรัฐมีลักษณะสําคัญคือ มีสถานะเป็นกลางทางการเมือง หรือไม่ต้องรับผิดชอบ ทางการเมือง (The King can do no wrong) ซึ่งแสดงออกโดยการที่ประมุขของรัฐไม่อาจถูกถอดถอนออกจากตําแหน่ง จากการที่ไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองนี้เองที่ทําให้กิจกรรมใด ๆ ของประมุขของรัฐต้องมีการลงนาม กํากับหรือลงนามรับสนองพระบรมราชโองการของทุกกิจกรรมเสมอ เพื่อให้ผู้ลงนามรับรองเป็นผู้รับผิดชอบใน กิจกรรมนั้น ๆ ต่อสภาผู้แทนราษฎร

3 ฝ่ายบริหาร (คณะรัฐมนตรี) หรือรัฐบาลก่อนจะเข้าบริหารงานปกครองประเทศนั้น จะต้องเสนอนโยบายเพื่อขอความไว้วางใจหรือขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน จึงจะบริหารงานได้

4 รัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจทําให้ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลต้องออกจากตําแหน่งได้ โดยการเปิดอภิปรายลงมติไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ หรืออภิปรายไม่ไว้วางใจเฉพาะนายกรัฐมนตรีก็ได้

5 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีสิทธิตั้งกระทู้ถามเพื่อควบคุมการบริหารงานของรัฐบาล

6 ฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจอนุมัติเงินงบประมาณแผ่นดินเพื่อตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของรัฐบาล

7 ฝ่ายนิติบัญญัติมีอํานาจตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อตรวจสอบการกระทําของฝ่ายบริหาร หรือรัฐบาล

8 ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลมีอํานาจยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ ซึ่งเป็นมาตรการในการถ่วงดุล กับฝ่ายนิติบัญญัติ

9 ฝ่ายบริหารมีอํานาจเสนอกฎหมายต่อฝ่ายนิติบัญญัติได้เช่นเดียวกันกับสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร

10 ฝ่ายบริหารมีอํานาจเข้าร่วมประชุมกับฝ่ายนิติบัญญัติ

11 ศาลและผู้พิพากษามีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี

การเมืองระบบรัฐสภาดังกล่าวนี้จะมีเสถียรภาพและดําเนินไปได้ด้วยดีก็ขึ้นอยู่กับการมีระบบ พรรคการเมืองใหญ่และเป็นระบบ 2 พรรค จึงจะทําให้การเมืองของประเทศมีเสถียรภาพ และรัฐบาลสามารถบริหาร ประเทศได้ครบวาระสมัย

ตัวอย่างประเทศที่ใช้การเมืองระบบรัฐสภา ได้แก่ อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ก สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี ออสเตรีย อิตาลี สเปน กรีซ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย กัมพูชา ไทย เป็นต้น

 

ข้อ 3 ให้นักศึกษายกประเด็นสําคัญในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มา 15 ประเด็น

แนวคําตอบ (หน้า 107 – 243), (เอกสารหมายเลข P-2102 หน้า 51 – 57), (คําบรรยาย)

ในทุกประเทศหรือทุกรัฐที่มีการเมืองการปกครอง จะต้องมีกติกา หลักเกณฑ์ ระเบียบ หรือข้อบังคับที่ใช้ในการปกครองประเทศ ไม่ว่าประเทศนั้นจะมีการปกครองระบอบใดก็ตาม ซึ่งกติกา หลักเกณฑ์ ระเบียบ หรือข้อบังคับในการปกครองประเทศนั้น ในหลักรัฐศาสตร์จะเรียกว่า “รัฐธรรมนูญ” เสมอ รัฐธรรมนูญจึงเปรียบเสมือน เป็นกฎหมายหรือกติกาข้อตกลงของผู้มีอํานาจที่ตกลงกันและยอมรับให้มีการบังคับใช้ในประเทศ เพื่อให้การดําเนินการ ทางการเมืองการปกครองเป็นไปโดยเรียบร้อย ไม่เกิดการแย่งชิง หรือการจลาจลใช้กําลังตัดสินช่วงชิงอํานาจกันในการเป็นรัฐบาล และเพื่อให้การเมืองการปกครองประเทศเป็นไปโดยราบรื่น

บทบัญญัติต่าง ๆ ที่บรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยทั่วไปแล้วเราจะพบบทบัญญัติข้อบังคับ 2 ประเภท คือ

1 บทบัญญัติที่เกี่ยวกับการจัดระเบียบอํานาจการเมืองการปกครองโดยตรง โดยกําหนดว่า อํานาจนั้นเป็นของใครมาจากไหน กําหนดวิธีการที่ผู้ปกครองจะเข้ามาปกครองประเทศรวมถึงการสิ้นสุดและการสืบต่ออํานาจ

2 บทบัญญัติที่ไม่เกี่ยวกับการจัดระเบียบอํานาจการเมืองการปกครองโดยตรง แต่เกี่ยวกับการรับรู้สิทธิเสรีภาพต่าง ๆ ของราษฎร เช่น การประกาศรับรู้ในเสรีภาพด้านต่าง ๆ ประเทศที่มีการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยจะมีการประกาศเสรีภาพเหล่านี้ไว้ในรัฐธรรมนูญ

นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบันปี พ.ศ. 2556 ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร ทั้งสิ้น 18 ฉบับ โดยรัฐธรรมนูญฉบับที่ 18 คือ รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 (รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน) นับเป็นรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรฉบับแรกที่ได้ผ่านการออกเสียงประชามติ (Referendum) จากประชาชนทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 และในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย โดยมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ แล้วได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาอันมีผลบังคับใช้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 18

สาระสําคัญของรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 นี้จะแบ่งออกเป็น 15 หมวด ซึ่งมีความยาวทั้งหมด 309 มาตรา และมีบทเฉพาะกาล แต่ในที่นี้จะขอหยิบยกประเด็นหรือสาระสําคัญเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว มาเพียง 15 ประเด็น ดังนี้

1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรหนึ่งเดียวจะแบ่งแยกมิได้ นั่นหมายความว่า ประเทศไทย มีรูปแบบรัฐเป็นแบบรัฐเดี่ยว (มาตรา 1)

2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (มาตรา 2)

3 อํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชนชาวไทย การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม (มาตรา 3)

4 รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ (มาตรา 6)

5 พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้ (มาตรา 8) 6 ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองจะเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือโทรคมนาคมมิได้ ไม่ว่าในนามของตนเองหรือให้ผู้อื่นเป็นเจ้าของกิจการหรือ ถือหุ้นแทน หรือจะดําเนินการโดยวิธีการอื่นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมที่สามารถบริหารกิจการดังกล่าวได้ในทํานองเดียวกับการเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการดังกล่าว (มาตรา 48)

7 บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่า 12 ปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่าง ทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย (มาตรา 49)

8 ผู้ยากไร้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลจากสถานบริการสาธารณสุขของรัฐ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (มาตรา 51)

9 บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง (มาตรา 72)

10 รัฐสภาประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โดยประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภาเป็นรองประธานรัฐสภา (มาตรา 88 และ 89)

11 สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกจํานวน 500 คน โดยเป็นสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจํานวน 375 คน และสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อจํานวน 125 คน (รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2554 มาตรา 93)

12 วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจํานวนรวม 150 คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวัดละ 1 คน และมาจากการสรรหาเท่ากับจํานวนรวมข้างต้นหักด้วยจํานวนสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ในกรณีที่มีการเพิ่มหรือลดจังหวัดในระหว่างวาระของสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ให้วุฒิสภาประกอบด้วย สมาชิกเท่าที่มีอยู่ (มาตรา 111)

13 ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติในหมวดสิทธิและเสรีภาพ และหมวดแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ (มาตรา 163)

14 ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 20,000 คน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภามีมติถอดถอนบุคคลผู้ใช้อํานาจรัฐซึ่งได้แก่ ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง เช่น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธาน ศาลปกครองสูงสุด อัยการสูงสุด ฯลฯ ออกจากตําแหน่งได้ (มาตรา 164 และ 270)

15 ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ต้องมาจาก (มาตรา 291 (1)

1) คณะรัฐมนตรี

2) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร

3) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา (สมาชิกรัฐสภา) จํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

4) ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 50,000 คน

การมีรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรของไทยตั้งแต่ฉบับแรกเรื่อยมาจนถึงฉบับปัจจุบันนั้น การกําหนดเกี่ยวกับอํานาจอธิปไตยว่า “เป็นของปวงชน” หรือ “มาจากปวงชน” ก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของทฤษฎีเสียมากกว่า เพราะประชาชนไม่เคยได้รับ “อํานาจตัดสินใจสุดท้าย” ตราบใดที่ประเทศเราไม่ได้เป็นสังคมแบบ อนาธิปไตย (Anarchy) กฎหมายทุกประเภทก็ยังคงเป็นเรื่องของการบังคับใช้ฝ่ายเดียว ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ หรือพระราชบัญญัติอื่น ๆ

 

Advertisement