การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2013
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ
ข้อ 1
(ก) ผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงินจะต้องรับผิดอย่างไรหรือไม่ต่อผู้ทรงตั๋วแลกเงิน
(ข) บางเขนเป็นผู้รับเงินตามตั๋วแลกเงินที่มีบางบัวทองเป็นผู้จ่าย บางขวางเป็นผู้สั่งจ่ายและขีดฆ่าคำว่า “หรือผู้ถือ” ออกแล้ว บางเขนจะสลักหลังและส่งมอบตั๋วแลกเงินดังกล่าวเพื่อชำระราคาสินค้าที่ซื้อจากหลักสี่ แต่หลักสี่ให้บางเขนนำตั๋วแลกเงินไปให้บางขวางรับรองก่อน บางเขนจึงเอาตั๋วแลกเงินไปให้บางขวางเขียนข้อความว่า “รับรองว่าเป็นผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงินฉบับนี้จริง” และลงลายมือชื่อไว้ด้านหน้าของตั๋วแลกเงิน หลักสี่จึงยอมรับชำระหนี้ด้วยการสลักหลังและส่งมอบตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวจากบางเขน ครั้นตั๋วแลกเงินถึงกำหนดหลักสี่ได้นำตั๋วแลกเงินไปให้บางบัวทองใช้เงิน แต่บางบังทองปฏิเสธการใช้เงิน เนื่องจากเห็นว่าตนมิได้เป็นหนี้บางขวางผู้สั่งจ่ายอีกแล้ว อนึ่งหลักสี่ได้ทำคำคัดค้านไว้โดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้ให้วินิจฉัยว่าหลักสี่ผู้ทรงจะฟ้องไล่เบี้ยบางขวางให้รับผิดตามตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวได้หรือไม่ในฐานะใด
ธงคำตอบ
(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 900 วรรคแรก บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น
มาตรา 914 บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตั๋วแลกเงินย่อมเป็นอันสัญญาว่า เมื่อตั๋วนั้นได้นำมายื่นโดยชอบแล้วจะมีผู้รับรองและใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋ว ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรองก็ดี หรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึ่งต้องถูกบังคับให้ใช้เงินตามตั๋วนั้น ถ้าหากว่าได้ทำถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว
อธิบาย
จากหลักกฎหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงินจะต้องรับผิดต่อผู้ทรงตั๋วแลกเงิน ก็ต่อเมื่อเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 900 วรรคแรก ประกอบกับมาตรา 914 ดังนี้คือ
1 ผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงินได้ลงลายมือชื่อของตนไว้ในตั๋วแลกเงินในฐานะผู้สั่งจ่าย ซึ่งในการลงลายมือชื่อนั้น ผู้สั่งจ่ายอาจจะเขียนชื่อของตนโดยเขียนชื่อตัวและชื่อสกุลหรืออาจจะเขียนเฉพาะชื่อตัวก็ได้ หรืออาจจะเป็นการลงลายเซ็นก็ได้ แต่ที่สำคัญจะต้องเป็นการลงลายมือชื่อไว้จริงๆเท่านั้น จะใช้เครื่องหมายอื่นๆหรือลายพิมพ์นิ้วมือลงไว้แทนการลงลายมือชื่อไม่ได้ และ
2 เมื่อผู้ทรงตั๋วแลกเงินได้นำตั๋วนั้นไปยื่นโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว แต่ผู้จ่ายไม่ยอมรับรองหรือไม่ยอมจ่ายเงินแล้วแต่กรณี ดังนี้ผู้สั่งจ่ายจะต้องรับผิดโดยการใช้เงินให้แก่ผู้ทรง เมื่อผู้ทรงได้ทำถูกต้องตามวิธีการที่กฎหมายกำหนด คือได้ทำคำคัดค้านการไม่รับรองหรือการไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว
ดังนั้น ถ้าขาดหลักเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่ง เช่น ผู้สั่งจ่ายไม่ได้ลงลายมือชื่อของตนไว้ในตั๋วแลกเงิน หรืออาจจะลงลายมือชื่อไว้ แต่เมื่อตั๋วแลกเงินนั้นถึงกำหนดใช้เงินผู้จ่ายได้จ่ายเงินแก่ผู้ทรง ดังนี้ ผู้สั่งจ่ายก็ไม่ต้องรับผิดต่อผู้ทรงตั๋วแลกเงิน
(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 900 วรรคแรก บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น
มาตรา 914 บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตั๋วแลกเงินย่อมเป็นอันสัญญาว่า เมื่อตั๋วนั้นได้นำมายื่นโดยชอบแล้วจะมีผู้รับรองและใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋ว ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรองก็ดี หรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึ่งต้องถูกบังคับให้ใช้เงินตามตั๋วนั้น ถ้าหากว่าได้ทำถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว
มาตรา 927 อันตั๋วแลกเงินนั้น จะนำไปยื่นแก่ผู้จ่าย ณ ที่อยู่ของผู้จ่าย เพื่อให้รับรองเมื่อไรๆก็ได้
มาตรา 931 การรับรองนั้นพึงกระทำด้วยเขียนลงไว้ด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงินเป็นถ้อยคำสำนวนว่า “รับรองแล้ว” หรือความอย่างอื่นทำนองเช่นเดียวกันนั้น และลงลายมือชื่อของผู้จ่าย อนึ่งแต่เพียงลายมือชื่อของผู้จ่ายลงไว้ในด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงิน ท่านก็จัดว่าเป็นคำรับรองแล้ว
วินิจฉัย
ตามมาตรา 927 ประกอบมาตรา 931 จะเห็นได้ว่าตั๋วแลกเงินนั้นถ้าจะนำไปให้เขารับรองว่าเมื่อถึงกำหนดจะมีการจ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินนั้น จะต้องนำไปให้ผู้จ่ายรับรองเท่านั้น ถ้านำไปให้ผู้อื่นซึ่งมิใช่ผู้จ่ายทำการรับรอง ผู้ที่ทำการรับรองก็มิได้อยู่ในฐานะเป็นผู้รับรองแต่อย่างใด
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่บางเขนซึ่งเป็นผู้รับเงินได้นำตั๋วแลกเงินไปยื่นให้บางขวางรับรอง เมื่อบางขวางไม่ได้เป็นผู้จ่าย แต่เป็นผู้สั่งจ่าย ได้ทำการรับรองโดยเขียนข้อความว่า “รับรองว่าเป็นผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงินฉบับนี้จริง” การกระทำของบางขวางไม่ถือว่าเป็นการรับรองตั๋วแลกเงิน บางขวางจึงไม่อยู่ในฐานะผู้รับรองแต่อย่างใด
ดังนั้น เมื่อตั๋วแลกเงินถึงกำหนด บางบัวทองซึ่งเป็นผู้จ่ายปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนี้ หลักสี่ซึ่งเป็นผู้ทรงย่อมสามารถฟ้องให้บางขวางรับผิดในฐานะผู้สั่งจ่ายได้ ตามมาตรา 900 ประกอบมาตรา 914 แต่จะฟ้องบางขวางให้รับผิดในฐานะผู้รับรองไม่ได้
สรุป หลักสี่ผู้ทรงสามารถฟ้องไล่เบี้ยบางขวางให้รับผิดตามตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวได้ในฐานะผู้สั่งจ่าย
ข้อ 2
(ก) ให้นักศึกษาอธิบายถึงหลักเกณฑ์ของการเป็น “ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย” มาให้เข้าใจ
(ข) นายดินออกตั๋วแลกเงินสั่งให้นายไฟจ่ายเงินให้แก่ลมเป็นตั๋วแบบระบุชื่อ ต่อมานายลมนำตั๋วฯนั้นไปสลักหลังลอยชำระหนี้ให้แก่นางสาวฝน ต่อมานางสาวฝนก็ได้ส่งมอบตั๋วฯนั้นชำระหนี้ให้แก่นางสาวน้ำ หลังจากนั้นนางสาวน้ำเกิดความสงสัยว่าตนเป็นผู้มีสิทธิในตั๋วฯนี้โดยชอบหรือไม่ จึงมาปรึกษานางสาวฟ้า ซึ่งนางสาวฟ้าบอกกับนางสาวน้ำมิใช่ผู้มีสิทธิในตั๋วฯนี้ เนื่องจากมีการโอนตั๋วฯมาโดยไม่ถูกต้อง
ดังนี้ คำแนะนำของนางสาวฟ้าที่ให้กับนางสาวน้ำนั้นถูกต้องหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 904 อันผู้ทรงนั้น หมายความว่า บุคคลผู้มีตั๋วเงินไว้ในครอบครองโดยฐานเป็นผู้รับเงินหรือเป็นผู้รับสลักหลัง ถ้าและเป็นตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือๆ ก็นับว่าเป็นผู้ทรงเหมือนกัน
มาตรา 905 ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 1008 บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครองถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักลอยก็ตาม ให้ถือว่าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อใดรายการสลักหลังลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก ท่านให้ถือว่าบุคคลผู้มีลงลายชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้น เป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอย อนึ่งคำสลักหลังเมื่อขีดฆ่าเสียและห้ามให้ถือเสมือนว่ามิได้มีเลย
ถ้าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดต้องปราศจากตั๋วเงินไปจากครอบครอง ท่านว่าผู้ทรงซึ่งแสดงให้ปรากฏสิทธิของตนในตั๋วตามวิธีการดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้น หาจำต้องสละตั๋วเงินไม่ เว้นแต่จะได้มาโดยทุจริตหรือได้มาด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
อนึ่งข้อความในวรรคก่อนนี้ ให้ใช้บังคับตลอดถึงผู้ทรงตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือด้วย
อธิบาย
จากหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ทำให้สามารถสรุปหลักเกณฑ์ของการเป็นผู้ทรงตั๋วเงินโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้คือ
1 เป็นผู้มีตั๋วเงินไว้ในความครอบครอง (ยึดถือด้วยเจตนายึดถือเพื่อตน)
2 ได้ครอบครองตั๋วเงินนั้นในฐานะเป็นผู้รับเงินหรือเป็นผู้รับสลักหลัง สำหรับตั๋วเงินที่ระบุชื่อหรือเป็นผู้ถือ สำหรับตั๋วเงินชนิดที่สั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ
3 ได้ครอบครองตั๋วเงินนั้นโดยชอบด้วยกฎหมาย (ผู้ทรงโดยสุจริต) และไม่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
4 ได้ครอบครองตั๋วเงินนั้นมาโดยการสลักหลังไม่ขาดสาย
อนึ่ง การสลักหลังไม่ขาดสาย หมายถึง การสลักหลังตั๋วเงินโดยโอนรับช่วงติดต่อกันมาตามลำดับจนถึงมือของผู้ทรงคนปัจจุบันโดยไม่ขาดตอน
(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 904 อันผู้ทรงนั้น หมายความว่า บุคคลผู้มีตั๋วเงินไว้ในครอบครองโดยฐานเป็นผู้รับเงินหรือเป็นผู้รับสลักหลัง ถ้าและเป็นตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือๆ ก็นับว่าเป็นผู้ทรงเหมือนกัน
มาตรา 905 วรรคแรก ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 1008 บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครองถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักลอยก็ตาม ให้ถือว่าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อใดรายการสลักหลังลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก ท่านให้ถือว่าบุคคลผู้มีลงลายชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้น เป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอย อนึ่งคำสลักหลังเมื่อขีดฆ่าเสียและห้ามให้ถือเสมือนว่ามิได้มีเลย
มาตรา 917 วรรคแรก อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่งก็ตาม ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ
มาตรา 919 วรรคสอง การสลักหลังย่อมสมบูรณ์แม้ทั้งมิได้ระบุชื่อผู้รับประโยชน์ไว้ด้วยหรือแม้ผู้สลักหลังจะมิได้กระทำอะไรยิ่งไปกว่าลงลายมือชื่อของตนที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินหรือที่ใบประจำต่อ ก็ย่อมฟังเป็นสมบูรณ์ดุจกัน การสลักหลังเช่นนี้ท่านเรียกว่า “สลักหลังลอย”
มาตรา 920 วรรคสอง ถ้าสลักหลังลอย ผู้ทรงจะปฏิบัติดังกล่าวต่อไปนี้ประการหนึ่งประการใดก็ได้ คือ
(3) โอนตั๋วเงินนั้นให้ไปแก่บุคคลภายนอกโดยไม่กรอกความลงในที่ว่าง และไม่สลักหลังอย่างหนึ่งอย่างใด
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อตั๋วแลกเงินที่นายดินออกให้แก่นายลมเป็นตั๋วแบบระบุชื่อ ดังนั้น ถ้านายลมจะโอนตั๋วฉบับนี้ต่อให้แก่นางสาวฝน นายลมก็จะต้องโอนให้แก่นางสาวฝนโดยการสลักหลัง และส่งมอบตามมาตรา 917 วรรคแรก และการสลักหลังนั้นอาจจะเป็นการสลักหลังเฉพาะ หรือสลักหลังลอยก็ได้ (มาตรา 919 วรรคสอง)
และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายลมได้โอนตั๋วฉบับนี้ให้แก่นางสาวฝนโดยการสลักหลังลอย ดังนั้นเมื่อนางสาวฝนต้องการโอนตั๋วฉบับนี้ต่อไปให้แก่นางสาวน้ำ นางสาวฝนก็สามารถโอนตั๋วต่อไปได้โดยการสลักหลังและส่งมอบตามมาตรา 917 วรรคแรก หรืออาจจะโอนตั๋วต่อไปโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่สลักหลังใดๆก็ได้ ตามมาตรา 920 วรรคสอง(3) และเมื่อปรากฏว่านางสาวฝนได้โอนตั๋วฉบับนี้ให้แก่นางสาวน้ำโดยการส่งมอบ จึงถือว่านางสาวน้ำได้รับโอนตั๋วมาโดยถูกต้องตามกฎหมาย โดยถือว่านางสาวน้ำได้รับโอนตั๋วมาจากการสลักหลังลอยของนายลม การสลักหลังโอนตั๋วฉบับนี้จึงไม่ขาดสาย นางสาวน้ำซึ่งครอบครองตั๋วอยู่จึงเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 904 และมาตรา 905 วรรคแรก และย่อมมีสิทธิในตั๋วฉบับดังกล่าวโดยชอบ ดังนั้นคำแนะนำของนางสาวฟ้าที่ว่านางสาวน้ำมิใช่ผู้มีสิทธิในตั๋วเนื่องจากมีการโอนมาโดยไม่ถูกต้องนั้น จึงเป็นคำแนะนำที่ไม่ถูกต้อง
สรุป คำแนะนำของนางสาวฟ้าที่ให้กับนางสาวน้ำนั้นไม่ถูกต้อง
ข้อ 3
(ก) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะตั๋วเงิน ได้บัญญัติหลักเกณฑ์การใช้เงินตามเช็คขีดคร่อมสำหรับธนาคารผู้จ่ายเงิน รวมทั้งผลของการฝ่าฝืนหลักเกณฑ์การใช้เงินตามเช็คขีดคร่อมสำหรับธนาคารผู้จ่ายเงินไว้อย่างไร
(ข) โทได้รับเช็คพิพาทขีดคร่อมทั่วไปจากการขายสินค้าให้เอกซึ่งได้ระบุสั่งให้ธนาคารสินไทยจ่ายเงินสดหรือผู้ถือ โทได้ถ่ายสำเนาเช็คพิพาทนั้นไว้ก่อนที่ต้นฉบับเช็คนั้นได้หายไป จึงได้รีบโทรศัพท์แจ้งให้ธนาคารสินไทยทราบ แต่ปรากฏว่ามีผู้นำเช็คพิพาทนั้นไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารสินไทยไปก่อนแล้ว ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าเอกและธนาคารสินไทยยังคงต้องรับผิดตามมูลหนี้เดิม และหรือมูลหนี้ตามเช็คพิพาทที่มีต่อโทหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
(ก) อธิบาย
1 หลักเกณฑ์การจ่ายเงินตามเช็คขีดคร่อมสำหรับธนาคารผู้จ่าย (Paying Bank)
– กรณีเช็คขีดคร่อมทั่วไป ธนาคารผู้จ่ายต้องใช้เงินแก่ธนาคารใดธนาคารหนึ่งของผู้ทรงเช็ค หากมีการนำเช็คนั้นให้ธนาคารอื่นเรียกเก็บ (Collecting Bank) หรือจ่ายเงินเข้าบัญชีของผู้ทรงเช็ค จะจ่ายเป็นเงินสดมิได้ (มาตรา 994 วรรคแรก)
– กรณีเช็คขีดคร่อมเฉพาะ ธนาคารผู้จ่ายต้องใช้เงินให้แก่ธนาคารที่ระบุชื่อไว้โดยเฉพาะจะจ่ายให้ธนาคารอื่นมิได้ และจะจ่ายเป็นเงินสดมิได้ (มาตรา 994 วรรคสอง)
– กรณีเช็คขีดคร่อมเฉพาะให้แก่ธนาคารกว่าธนาคารหนึ่งขึ้นไป ธนาคารผู้จ่ายต้องปฏิเสธการจ่ายเงิน เว้นแต่อีกธนาคารหนึ่งนั้นมีฐานะเป็นธนาคารตัวแทนเรียกเก็บเงินแทน ดังนี้ ธนาคารผู้จ่ายก็สามารถจ่ายให้แก่ธนาคารตัวแทนนั้นได้ แต่จะจ่ายให้แก่ธนาคารอื่นมิได้ (มาตรา 995(4) ประกอบมาตรา 997 วรรคแรก)
อนึ่ง ธนาคารผู้จ่ายหากได้จ่ายเงินไปภายใต้หลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นไปโดยสุจริตและปราศจากความประมาทเลินเล่อ ทั้งได้จ่ายเงินไปตามทางการค้าปกติ (ในระหว่างวันและเวลาที่เปิดทำการตามนัยมาตรา 1009) กรณีย่อมเป็นผลให้ธนาคารผู้จ่ายไม่ต้องรับผิดต่อผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คนั้น (ปกติได้แก่ผู้ทรงเดิม) และชอบที่จะหักเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้สั่งจ่ายนั้นได้ (มาตรา 998)
2 ผลของการฝ่าฝืนหลักเกณฑ์การใช้เงินตามเช็คขีดคร่อม
– กรณีเช็คขีดคร่อมทั่วไป ธนาคารผู้จ่ายได้ใช้เงินสดให้แก่ผู้ทรงเช็คก็ดี หรือจ่ายเงินเข้าบัญชีธนาคารอื่นที่ผู้ทรงเช็คมิได้มีบัญชีเงินฝากก็ดี
– กรณีเช็คขีดคร่อมเฉพาะ ธนาคารผู้จ่ายได้ใช้เงินสดหรือจ่ายเงินสดหรือจ่ายเงินเข้าบัญชีธนาคารอื่นที่มิได้ถูกระบุชื่อลงไว้โดยเฉพาะก็ดี
– กรณีเช็คขีดคร่อมเฉพาะให้แก่ธนาคารกว่าธนาคารหนึ่งขึ้นไป ธนาคารผู้จ่ายไม่ปฏิเสธการจ่ายเงิน หรือจ่ายเงินให้แก่ธนาคารอื่นที่มิใช่อยู่ในฐานะเป็นธนาคารตัวแทนเรียกเก็บเงินก็ดี
ผล ธนาคารผู้จ่ายต้องรับผิดต่อผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คขีดคร่อมนั้น (ผู้ทรงเดิม) ในการที่น่าต้องเสียหาย (มาตรา 997 วรรคสอง) และไม่สามารถหักเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้สั่งจ่ายได้ เพราะถือว่าใช้เงินไปโดยไม่ถูกระเบียบ แม้ถึงว่าจะใช้เงินไปตามทางการค้าโดยปกติ โดยสุจริตและไม่ประมาทเลินเล่อก็ตาม (มาตรา 1009)
(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 998 ธนาคารใดซึ่งเขานำเช็คขีดคร่อมเบิกเงินใช้เงินไปตามเช็คนั้นโดยสุจริตและปราศจากประมาทเลินเล่อ กล่าวคือว่าถ้าเป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไปก็ใช้เงินให้แก่ธนาคารอันใดอันหนึ่ง ถ้าเป็นเช็คขีดคร่อมเฉพาะก็ใช้ให้แก่ธนาคารซึ่งเขาเจาะจงขีดคร่อมให้เฉพาะ หรือใช้ให้แก่ธนาคารตัวแทนเรียกเก็บเงินของธนาคารนั้นไซร้ ท่านว่าธนาคารซึ่งใช้เงินไปตามเช็คนั้นฝ่ายหนึ่ง กับถ้าเช็คตกไปถึงมือผู้รับเงินแล้ว ผู้สั่งจ่ายอีกฝ่ายหนึ่งต่างมีสิทธิเป็นอย่างเดียวกัน และเข้าอยู่ในฐานะอันเดียวกันเสมือนดั่งว่าเช็คนั้นได้ใช้เงินให้แก่ผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงแล้ว
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อมีผู้นำเช็คพิพาทฉบับนั้น ซึ่งเป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไป และเป็นเช็คสั่งจ่ายแก่ผู้ถือไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารสินไทย และเมื่อธนาคารสินไทยผู้จ่ายได้จ่ายเงินตามเช็คขีดคร่อมนั้นไปโดยสุจริตและมิได้ประมาทเลินเล่อ เป็นผลให้เงินในบัญชีของเอกผู้สั่งจ่ายได้ถูกหักทอนไปเข้าบัญชีลูกค้าแล้ว ดังนี้ตามมาตรา 998 ได้บัญญัติให้เอกผู้สั่งจ่าย และธนาคารสินไทยผู้จ่ายต่างมีสิทธิเป็นอย่างเดียวกัน และเข้าอยู่ในฐานะอันเดียวกัน เสมือนดังว่าเช็คนั้นได้ใช้เงินให้แก่ผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงแล้ว ดังนั้นทั้งเอกและธนาคารสินไทยจึงไม่ต้องรับผิดตามมูลหนี้เดิม และหรือมูลหนี้ตามเช็คพิพาทที่มีต่อโทแต่อย่างใด
สรุป เอกและธนาคารสินไทยไม่ต้องรับผิดตามมูลหนี้เดิม และหรือมูลหนี้ตามเช็คพิพาทที่มีต่อโท