การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2549
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 นายหมอกเป็นเจ้าของตึกแถวราคา 10 ล้านบาท นายเมฆเป็นพี่ชายนายหมอก นายหมอกอนุญาตให้นายเมฆเข้ามาอาศัยอยู่และขายอาหารในตึกแถวนั้นได้ แต่นายเมฆกลัวว่าถ้าไฟไหม้ตึกแถวนี้ ตนจะได้รับความเดือดร้อน เพราะต้องหาตึกแถวแห่งใหม่เพื่อทำการค้าต่อไป นายเมฆจึงนำตึกแถวนี้ไปทำสัญญาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทประกันวินาศภัยแห่งหนึ่งเป็นเวลา 1 ปี วงเงินเอาประกัน 5 แสนบาท หลังจากทำสัญญาประกันภัยไปได้สามเดือน นายหมอกได้จดทะเบียนสิทธิอาศัยให้กับนายเมฆเป็นเวลา 10 ปี อีก 1 เดือนต่อมาไฟไหม้ตึกแถวข้างเคียงแล้วลุกลามมาไหม้ตึกแถวที่นายเมฆเอาประกันภัยไว้เสียหายทั้งหมด ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า สัญญาประกันภัยระหว่างนายเมฆกับบริษัทประกันภัยมีผลผูกพันคู่สัญญาหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 863 อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด
มาตรา 869 อันคำว่า “วินาศภัย” ในหมวดนี้ ท่านหมายรวมเอาความเสียหายอย่างใดๆบรรดาซึ่งจะพึงประมาณเป็นเงินได้
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ นายเมฆผู้เอาประกันไม่มีส่วนได้เสียตามมาตรา 863 เพราะไม่มีความสัมพันธ์ใดๆที่กฎหมายรับรองสิทธิเนื่องจากนายเมฆครอบครองตึกของนายหมอกในฐานะผู้อาศัย โดยมิได้จดทะเบียนสิทธิอาศัยไว้ด้วย (คำพิพากษาฎีกาที่ 1742/2502) อีกทั้งนายเมฆไม่สามารถตีราคาความเสียหายออกมาเป็นตัวเลขที่แน่นอนได้ ตามมาตรา 869 นายเมฆจึงไม่ได้รับความเสียหาย เพราะนายเมฆยังไม่มีสิทธิใดๆในตึกแถวนี้
แม้ต่อมาภายหลังนายเมฆมีสิทธิอาศัย เพราะมีการจดทะเบียนก็ไม่ทำให้สัญญาที่ไม่ผูกพันตั้งแต่ต้นกลายมาเป็นสัญญาที่มีผลผูกพันภายหลังได้ เพราะส่วนได้เสียนั้นผู้เอาประกันต้องมีก่อนหรือในขณะทำสัญญาเท่านั้น
สรุป สัญญาประกันภัยระหว่างนายเมฆกับบริษัทประกันภัยจึงไม่ผูกพันคู่สัญญา
ข้อ 2 นายสักได้นำบ้านของตนไปประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทเงียบสูญประกันภัย โดยกำหนดราคาแห่งมูลประกันภัย 1,000,000 บาท จำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัย 800,000 บาท ต่อมาในระหว่างอายุสัญญาได้เกิดเพลิงไหม้บ้านเสียหายเป็นเงิน 796,000 บาท และในขณะที่เกิดเพลิงไหม้นั้นนายสักได้พยายามป้องกันบ้านมิให้เกิดเพลิงไหม้โดยเสียค่าใช้จ่ายในการจ้างฉีดน้ำป้องกันไฟเป็นจำนวนเงิน 6,000 บาท
ดังนี้ นายสักมีสิทธิเรียกให้บริษัทเงียบสูญประกันภัยชดใช้ค่าเสียหายทดแทนได้ในกรณีใดบ้าง เป็นจำนวนเงินเท่าใด ให้ยกหลักกฎหมายประกอบคำตอบ
ธงคำตอบ
มาตรา 877 ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
(1) เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง
(2) เพื่อความบุบสลายอันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้เพราะได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องปัดความวินาศภัย
(3) เพื่อบรรดาค่าใช้จ่ายอันสมควรซึ่งได้เสียไปเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเอาประกันภัยไว้นั้นมิให้วินาศ
อันจำนวนวินาศจริงนั้น ท่านให้ตีราคา ณ สถานที่และในเวลาซึ่งเหตุวินาศนั้นได้เกิดขึ้น อนึ่งจำนวนเงินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้นั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นหลักประมาณอันถูกต้องในการตีราคาเช่นว่านั้น
ท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้
วินิจฉัย
นายสักนำบ้านของตนไปประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทเงียบสูญประกันภัย มีจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัย 800,000 บาท ในระหว่างอายุสัญญา เกิดเพลิงไหม้บ้านเสียหายเป็นเงิน 796,000 บาท และนายสักยังได้เสียค่าใช้จ่ายในการจ้างฉีดน้ำป้องกันไฟเป็นเงิน 6,000 บาท ดังนี้ นายสักย่อมมีสิทธิเรียกให้บริษัทเงียบสูญประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริงที่เกิดขึ้นกับตัวบ้าน คือ 796,000 บาท ตามมาตรา 877(1) และมีสิทธิเรียกให้บริษัทฯ ใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อบรรดาค่าใช้จ่ายอันสมควรซึ่งได้เสียไป เพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเอาประกันภัยไว้นั้นมิให้วินาศ คือค่าใช้จ่ายในการจ้างฉีดน้ำป้องกันไฟเป็นจำนวนเงิน 6,000 บาท ตามมาตรา 877(3) เมื่อรวมแล้วคิดเป็นค่าสินไหมทดแทนที่นายสักจะพึงได้คือ 802,000 บาท
แต่อย่างไรก็ตาม ค่าสินไหมทดแทนที่นายสักจะได้รับนั้น ห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้คือ 800,000 บาท ตามมาตรา 877 วรรคท้าย
สรุป นายสักมีสิทธิเรียกร้องให้บริษัทเงียบสูญประกันภัย ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีความเสียหายที่เกิดแก่ตัวบ้าน และค่าสินไหมทดแทนในการรักษาทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้มิให้วินาศ รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 800,000 บาท
ข้อ 3 จันทร์ได้เอาประกันชีวิตอังคารซึ่งเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายไว้กับบริษัทไทยประกันชีวิต จำนวนเงินที่เอาประกันภัย 5 ล้านบาท สัญญามีกำหนด 5 ปี ระบุให้ตนเองและอาทิตย์บุตรชายเป็นผู้รับประโยชน์ร่วมกัน ทั้งจันทร์และอาทิตย์ได้เข้าถือเอาประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตแล้ว ต่อมา 2 ปี จันทร์กับอังคารได้หย่าขาดจากกันเนื่องจากจันทร์ไปได้ดาวพระศุกร์เป็นภริยาอีกคนหนึ่ง จากความประพฤติของบิดาทำให้อาทิตย์บุตรชายไม่พอใจและได้ต่อว่าบิดา ทั้งคู่เกิดการโต้เถียงกันขึ้นอย่างรุนแรง อาทิตย์จึงชักปืนออกมาเพื่อขู่บิดา เมื่ออังคารเห็นเข้าจึงรีบวิ่งเข้าไปห้ามในขณะที่ชุลมุนกันอยู่นั้น อาทิตย์ได้ทำปืนลั่นถูกอังคารซึ่งเป็นมารดาตาย ศาลได้พิพากษาจำคุก 1 ปี ฐานทำให้คนตายโดยประมาท และให้รอลงอาญาไว้ 5 เดือน หลังจากนั้นจันทร์กับอาทิตย์ได้ไปขอรับเงินตามสัญญาประกันชีวิตจากบริษัทในฐานะผู้รับประโยชน์ร่วมกัน แต่บริษัทฯไม่จ่าย อ้างว่า
1 จันทร์กับอังคารได้หย่าขาดจากกันแล้ว จันทร์ไม่มีส่วนได้เสียในชีวิตของอังคารในขณะที่อังคารตาย จึงไม่มีสิทธิรับเงินตามสัญญา และ
2 อาทิตย์ก็ไม่มีสิทธิรับเงินด้วยเช่นกัน เพราะเหตุว่าได้ทำให้อังคารซึ่งเป็นผู้ถูกเอาประกันชีวิตตาย
จงวินิจฉัยว่า ข้ออ้างของบริษัททั้ง 2 ข้อ ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 863 อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด
มาตรา 889 ในสัญญาประกันชีวิตนั้น การใช้จำนวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของบุคคลคนหนึ่ง
มาตรา 890 จำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้น จะชำระเป็นเงินจำนวนเดียว หรือเป็นเงินรายปีก็ได้ สุดแล้วแต่จะตกลงกันระหว่างคู่สัญญา
มาตรา 895 เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น เว้นแต่
(2) บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา
ในกรณีที่ 2 นี้ ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ จะเห็นได้ว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องในสัญญาประกันชีวิต แยกพิจารณาได้ดังนี้
1 จันทร์ เป็นผู้เอาประกันชีวิตและเป็นผู้รับประโยชน์ด้วย
2 อังคาร เป็นผู้ถูกเอาประกันชีวิต
3 อาทิตย์ เป็นผู้รับประโยชน์
ข้อเท็จจริง จันทร์ได้เอาประกันชีวิตของอังคารภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งความทรงชีพหรือมรณะของภริยาอาจมีผลกระทบต่อตนเอง ถือว่ามีเหตุแห่งส่วนได้เสียในขณะทำสัญญาตามมาตรา 863 สัญญาจึงมีผลสมบูรณ์และผูกพันคู่สัญญา จากข้ออ้างของบริษัทตามข้อเท็จจริงทั้ง 2 ข้อนั้น มีประเด็นที่ต้องพิจารณาดังนี้
1 จันทร์กับอังคารได้หย่าขาดจากกันแล้ว จันทร์ไม่มีส่วนได้เสียในชีวิตของอังคารในขณะที่อังคารตาย จึงไม่มีสิทธิรับเงินตามสัญญา เห็นว่า แม้จันทร์และอังคารจะได้หย่าขาดจากกันไปแล้ว แต่สัญญาประกันชีวิตยังคงสมบูรณ์อยู่ไม่ทำให้สิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด เพราะส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันชีวิต คงพิจารณาในขณะทำสัญญาประกันชีวิตเท่านั้น หาจำต้องพิจารณาในขณะมรณะอย่างใดไม่ ซึ่งตราบใดที่ผู้เอาประกันยังคงส่งเบี้ยประกันภัยอยู่ตามสัญญา และเมื่อมีภัยเกิดขึ้นตามมาตรา 889 บริษัทก็ต้องจ่ายเงินตามสัญญาตามมาตรา 890 ให้กับจันทร์ผู้เอาประกัน ข้ออ้างของบริษัทจึงฟังไม่ขึ้น
2 การที่อาทิตย์ได้ทำปืนลั่นถูกอังคารตายและศาลพิพากษาให้จำคุก 1 ปี ฐานทำให้คนตายโดยประมาทนั้น ก็ไม่ใช่เป็นการที่ผู้รับประโยชน์ได้ฆ่าผู้เอาประกันหรือผู้ถูกเอาประกันตายโดยเจตนาตามมาตรา 895(2) ดังนั้นอาทิตย์ก็ยังคงมีสิทธิได้รับเงินตามสัญญาประกันชีวิตในฐานะเป็นผู้รับประโยชน์เช่นเดียวกับจันทร์ ข้ออ้างของบริษัทจึงฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
สรุป ข้ออ้างของบริษัทฟังไม่ขึ้นทั้ง 2 กรณี ต้องจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตให้กับจันทร์และอาทิตย์