การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2549
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 นายชมไปทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์คันหนึ่งแต่ไม่มีเงิน นายเชยซึ่งเป็นเพื่อนสนิทตกลงรับเป็นผู้ชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์แทนให้ ต่อมานายชมได้นำรถยนต์คันนั้นไปทำสัญญาประกันวินาศภัยไว้กับบริษัทประกันภัย โดยตกลงกันว่าถ้ารถยนต์สูญหายไป นายชมจะได้รับชำระค่าสินไหมทดแทน 400,000 บาท ระหว่างอายุสัญญาประกันวินาศภัย รถยนต์สูญหายไปโดยไม่ปรากฏร่องรอย นายชมจึงเรียกให้บริษัทประกันภัยชำระค่าสินไหมทดแทน 400,000 บาท
บริษัทประกันภัยปฏิเสธการชำระค่าสินไหมทดแทน โดยอ้างว่ารถยนต์คันนี้นายชมมิได้เป็นผู้ชำระค่าเช่าซื้อ นายเชยต่างหากที่เป็นผู้ชำระค่าเช่าซื้อ นายชมเพียงแต่ไปทำสัญญาเช่าซื้อ นายชมไม่มีส่วนได้เสียในรถยนต์คันนี้ จึงไม่มีสิทธิที่จะเอารถยนต์คันนี้ไปทำสัญญาประกันวินาศภัย บริษัทประกันภัยไม่ต้องชำระค่าสินไหมทดแทน 400,000 บาทให้ ดังนี้ บริษัทประกันภัยต้องชำระค่าสินไหมทดแทน 400,000 บาท ให้แก่นายชมหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 863 อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด
วินิจฉัย
ตามปัญหา แม้นายชมมิได้เป็นผู้ชำระค่าเช่าซื้อ นายเชยเป็นผู้ชำระค่าเช่าซื้อแทนให้ก็ตาม แต่นายชมเป็นผู้ทำสัญญาเช่าซื้อ จึงอยู่ในฐานะคู่สัญญามีสิทธิที่จะครอบครองและใช้ประโยชน์ตลอดจนต้องรับผิดชอบในความสูญหายหรือบุบสลายในรถยนต์ที่เช่าซื้อ และเมื่อใช้เงินครบถ้วนตามสัญญาเช่าซื้อแล้ว รถยนต์คันนั้นก็ย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่นายชมผู้เช่าซื้อ นายชมจึงมีส่วนได้เสียในรถยนต์ที่มาทำสัญญาประกันวินาศภัยเมื่อรถสูญหายตามที่ตกลงไว้ในสัญญา บริษัทประกันภัยจึงต้องชำระค่าสินไหมทดแทนให้ 400,000 บาท ตามสัญญา
สรุป บริษัทประกันภัยต้องชำระค่าสินไหมทดแทน 4000,000 บาทให้แก่นายชม
ข้อ 2 นายสมหวังนำตึกหลังหนึ่งไปทำสัญญาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทดำในวงเงิน 200,000 บาท และต่อมานำไปประกันไว้กับบริษัทแดงในวงเงิน 400,000 บาท เกิดอัคคีภัยเสียหาย 250,000 บาท อยากทราบว่าบริษัทดำและบริษัทแดงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้นายสมหวังหรือไม่ ถ้าต้องรับผิดจะรับผิดมากน้อยเพียงใด
ธงคำตอบ
มาตรา 870 วรรคสาม “ถ้าได้ทำสัญญาประกันภัยเป็นสองรายหรือกว่านั้นสืบเนื่องเป็นลำดับกัน ท่านว่าผู้รับประกันภัยรายแรกจะต้องรับผิดเพื่อความวินาศภัยก่อน ถ้าและจำนวนเงินซึ่งผู้รับประกันภัยคนแรกได้ใช้นั้นยังไม่คุ้มจำนวนวินาศภัยไซร้ผู้รับประกันภัยคนถัดไปก็ต้องรับผิดในส่วนที่ยังขาดอยู่นั้นต่อๆกันไปจนกว่าจะคุ้มวินาศ”
วินิจฉัย
ตามปัญหา เป็นเรื่องการประกันวินาศภัยหลายรายในวัตถุเดียวกัน และเป็นสัญญาสืบต่อเนื่องกันตามหลักที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในเรื่องการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกรณีเกิดวินาศภัย ผู้รับประโยชน์จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเท่าที่เสียหายจริง ฉะนั้น เมื่อความเสียหายที่เกิดวินาศภัย 250,000 บาท บริษัทดำและบริษัทแดงต้องรับผิดชอบตามลำดับต่อไปนี้
1 บริษัทดำผู้รับประกันก่อนต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 200,000 บาท เท่ากับจำนวนเงินที่ได้ประกันไว้ ซึ่งยังไม่คุ้มจำนวนวินาศภัย
2 บริษัทแดงผู้รับประกันต่อมาจึงต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนส่วนที่ยังไม่คุ้ม 50,000 บาท
สรุป บริษัทดำรับผิด 200,000 บาท ส่วนบริษัทแดงรับผิด 50,000 บาท
ข้อ 3 เมื่อต้นปี พ.ศ. 2535 นายดีนำนางศรีภริยาไปทำสัญญาเอาประกันชีวิตกับบริษัทไทยประกันชีวิต ในวงเงิน 1,000,000 บาท นายดีแถลงต่อบริษัทว่า นางศรีภริยามีสุขภาพสมบูรณ์ ซึ่งความจริงนางศรีป่วยเป็นมะเร็งที่เต้านม นายดีไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน ขณะที่ทำสัญญาประกันชีวิต นางศรีก็นิ่งเสียไม่แถลงความจริงโดยคาดว่าจะรักษาหาย ครั้นต่อมานางศรีได้ถึงแก่กรรมเมื่อต้นเดือนมกราคม 2541 บริษัทไทยประกันชีวิตสืบทราบว่า นางศรีป่วยเป็นโรคมะเร็งมาก่อนที่นายดีนำมาทำสัญญาประกันชีวิต จึงบอกล้างนิติกรรมโมฆียกรรมนี้ เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2541 อยากทราบว่า บริษัทไทยประกันชีวิต มีสิทธิบอกล้างนิติกรรมรายนี้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 865 ถ้าในเวลาทำสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิตบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้ ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ
ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ก็ดี หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกำหนดห้าปีนับแต่วันทำสัญญาก็ดี ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป
วินิจฉัย
หน้าที่การเปิดเผยข้อความจริงตามที่กฎหมายบัญญัติไว้นี้เป็นหน้าที่ทั้งของผู้เอาระกันภัยและผู้ถูกประกัน การที่นางศรีผู้ถูกเอาประกันนิ่งเสีย ไม่เปิดเผยว่าตนป่วยเป็นโรคมะเร็งซึ่งเป็นโรคที่ร้ายแรง หากบริษัทไทยประกันชีวิตทราบความจริงเรื่องนี้คงไม่ยอมรับทำสัญญาประกันชีวิตด้วยอย่างแน่นอน สัญญาประกันชีวิตฉบับนี้จึงเป็นโมฆะ
แต่การบอกล้างโมฆียะกรรมนี้ตามมาตรา 865 วรรคท้าย ได้วางหลักไว้ว่า ต้องบอกล้างภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันทราบมูลอันจะบอกล้างได้ หรือภายในห้าปีนับแต่วันทำสัญญาหากมิฉะนั้นแล้วเป็นอันหมดสิทธิในการบอกล้าง สัญญาประกันชีวิตฉบับนี้ได้ทำเมื่อต้นปี พ.ศ. 2535 นับจนบัดนี้ เกินห้าปีแล้ว บริษัทไทยประกันชีวิตไม่มีสิทธิบอกล้างนิติกรรมนี้แล้ว
สรุป บริษัทไทยประกันชีวิตไมมีสิทธิบอกล้างนิติกรรมนี้แล้ว