การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2550
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 นายลาดเสนอขอเอาประกันภัยรถยนต์ของตนไว้กับบริษัทอุตสาหะประกันภัย จำกัด โดยพนักงานของบริษัทอุตสาหะประกันภัย จำกัด ได้จดแจ้งจำนวนเบี้ยประกันภัยลงในใบเสนอขอเอาประกันภัยและในใบเสนอขอเอาประกันภัยมีข้อความว่า “ยังไม่มีความรับผิดชอบใดๆจนกว่าบริษัทจะยอมรับคำขอเอาประกันนี้ และได้ชำระเบี้ยประกันเต็มจำนวนแล้ว” ต่อมาบริษัทอุตสาหะประกันภัย จำกัด ได้ส่งกรมธรรม์ประกันภัยไปให้นายฉลาดพร้อมทั้งมีหนังสือแจ้งว่าเมื่อได้รับกรมธรรม์ประกันภัยแล้ว ให้นายฉลาดส่งเบี้ยประกันภัยไปยังบริษัททันที
อีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมาปรากฏว่าเกิดวินาศภัยตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ แต่นายฉลาดยังไม่ได้ชำระเบี้ยประกันภัย ดังนี้ นายฉลาดเรียกร้องให้บริษัทอุตสาหะประกันภัย จำกัด ใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่บริษัทอุตสาหะประกันภัย จำกัด ปฏิเสธการจ่ายอ้างว่าสัญญายังไม่เกิดขึ้น เพราะนายฉลาดยังไม่ได้ชำระเบี้ยประกันภัย จงวินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ของบริษัทอุตสาหะประกันภัย จำกัด ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และนายฉลาดมีสิทธิฟ้องเรียกให้บริษัทฯ ใช้ค่าสินไหมทดแทนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 861 อันว่าสัญญาประกันภัยนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้ในกรณีวินาศภัยหากมีขึ้น หรือในเหตุอย่างอื่นในอนาคต ดังได้ระบุไว้ในสัญญา และในการนี้บุคคลอีกคนหนึ่งตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกว่า เบี้ยประกันภัย
มาตรา 867 วรรคแรก อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดหรือลายมือชื่อตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
วินิจฉัย
กรณีตามปัญหามีประเด็นที่ต้องวินิจฉัย
ประเด็นที่ 1
การที่บริษัทอุตสาหะประกันภัย จำกัด ปฏิเสธการใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยอ้างว่าสัญญายังไม่เกิดขึ้น เพราะนายฉลาดยังไม่ได้ชำระเบี้ยประกันภัยนั้น เห็นว่า ตามอุทาหรณ์ การที่นายฉลาดยื่นคำขอเอาประกัน จนกระทั่งบริษัทฯ ออกกรมธรรม์ให้แก่นายฉลาดแล้ว เมื่อพิจารณาตามกฎหมายเรื่องสัญญาคำขอเอาประกันของนายฉลาดถือเท่ากับเป็นคำเสนอ ส่วนกรมธรรม์ถือว่าเป็นคำสนอง ดังนั้นสัญญาประกันภัยจึงเกิดขึ้นแล้ว ส่วนการที่นายฉลาดยังไม่ได้ชำระเบี้ยประกันเป็นเรื่องของการไม่ชำระหนี้ตามสัญญาตามมาตรา 861 ซึ่งเบี้ยประกันภัยเป็นหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติหลังจากที่เกิดสัญญาขึ้น ถือว่านายฉลาดเป็นลูกหนี้ของบริษัท
ดังนั้นการจะพิจารณาว่า สัญญาเกิดขึ้นแล้วหรือไม่ ต้องพิจารณาจากคำเสนอและคำสนอง ไม่ได้พิจารณาจากการที่ผู้เอาประกันต้องชำระหนี้คือจ่ายเบี้ยประกันให้บริษัทแล้วสัญญาจึงจะเกิดขึ้น ส่วนการที่ใบเสนอขอเอาประกันภัยมีข้อความว่า “ยังไม่มีความรับผิดชอบใดๆจนกว่าบริษัทจะยอมรับคำขอเอาประกันนี้ และได้ชำระเบี้ยประกันภัยเต็มจำนวนแล้ว” ก็ไม่พอฟังเป็นเงื่อนไขว่า สัญญาจะมีผลใช้บังคับต่อเมื่อนายฉลาดส่งเบี้ยประกันภัยถูกต้องตามกำหนดแล้ว เพราะข้อความดังกล่าวมิได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย จึงไม่ถือว่าเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนหรือเงื่อนไขแห่งความรับผิดแต่อย่างใด (เทียบคำพิพากษาฎีกา 1306/2514)
ประเด็นที่ 2
นายฉลาดมีสิทธิฟ้องเรียกให้บริษัทฯ ใช้ค่าสินไหมทดแทนได้หรือไม่เมื่อสัญญาประกันภัยเกิดขึ้นแล้วต่างฝ่ายต่างมีหนี้ตามสัญญา หนี้ของบริษัทฯ คือใช้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีวินาศภัยมีขึ้น ตามอุทาหรณ์ ปรากฏว่าเกิดวินาศภัยตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ บริษัทจึงมีหน้าที่ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้นายฉลาด แต่นายฉลาดจะมีสิทธิเรียกให้บริษัทฯ ใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ก็ต่อเมื่อนายฉลาดต้องชำระหนี้ของตนคือจ่ายเบี้ยประกันภัยให้แก่บริษัทก่อนตามมาตรา 369 เพราะสัญญาประกันภัยเป็นสัญญาต่างตอบแทน ดังเห็นได้จากความหมายในมาตรา 861
ส่วนการฟ้องเรียกให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อนายฉลาดได้ปฏิบัติตามมาตรา 369 แล้ว เป็นการฟ้องให้บริษัทฯปฏิบัติตามสัญญา จึงเป็นการฟ้องบังคับคดี เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าบริษัทออกกรมธรรม์ให้นายลาดแล้ว นายฉลาดจึงนำเอากรมธรรม์ มาฟ้องบังคับคดีได้ เพราะกรมธรรม์คือหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ต้องรับผิดคือบริษัทฯตามมาตรา 867 วรรคแรก
สรุป ข้อต่อสู้ของบริษัท ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และนายฉลาดมีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัท เมื่อชำระเบี้ยประกันให้บริษัทเสียก่อนโดยเอากรมธรรม์มาฟ้อง (เทียบฎีกาที่ 1306/2514)
ข้อ 2 นายเสริมได้ทำสัญญาประกันอัคคีภัยบ้านของตนไว้กับบริษัทประกันภัย มีกำหนดตามสัญญา 1 ปี กำหนดจำนวนเงินเอาประกันภัย 500,000 บาท ปรากฏว่าในระหว่างอายุสัญญา ฐานะครอบครัวของนายเสริมยากจนลง เนื่องจากธุรกิจของนายเสริมประสบภาวะขาดทุน นางศรีภริยาของนายเสริมทราบว่านายเสริมได้ประกันอัคคีภัยบ้านไว้ จึงแกล้งวางเผลิงเผาบ้าน เพื่อให้บริษัทประกันภัยจ่ายค่าสินไหมทดแทนจำนวน 500,000 บาท ดังนี้ บริษัทประกันภัยจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนหรือไม่ ประการใด
ธงคำตอบ
มาตรา 861 อันว่าสัญญาประกันภัยนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้ในกรณีวินาศภัยหากมีขึ้น หรือในเหตุอย่างอื่นในอนาคต ดังได้ระบุไว้ในสัญญา และในการนี้บุคคลอีกคนหนึ่งตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกว่า เบี้ยประกันภัย
มาตรา 879 วรรคแรก ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในเมื่อความวินาศภัย หรือเหตุอื่นซึ่งได้ระบุไว้ในสัญญานั้นได้เกิดขึ้นเพราะความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์
วินิจฉัย
บริษัทประกันภัยต้องจ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายเสริม จำนวน 500,000 บาท เพราะการกระทำของนางศรีไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 879 แม้นางศรีจะเป็นภริยาของนายเสริม แต่นางศรีไม่ได้เป็นผู้เอาประกันภัยและไม่ได้เป็นผู้รับประโยชน์ ดังนั้นเมื่ออัคคีภัยอันเป็นภัยที่ระบุไว้ในสัญญาเกิดขึ้น แม้นางศรีจะแกล้งวางเพลิงเผาบ้านเพื่อหวังได้เงินเอาประกันก็ตาม บริษัทประกันภัยก็ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนจำนวนดังกล่าวให้แก่นายเสริม ตานัยมาตรา 861
สรุป บริษัทประกันภัยต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทน 500,000 ให้แก่นายเสริม
ข้อ 3 นายแดงได้ทำสัญญาประกันชีวิตนางดำภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายไว้กับบริษัทประกันชีวิต จำกัด จำนวนเงินที่เอาประกัน 3 ล้านบาท สัญญามีกำหนด 5 ปี โดยระบุให้ตนเองและนาบเหลืองบุตรชายเป็นผู้รับประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งทั้งคู่ก็ได้เข้าถือเอาประโยชน์เรียบร้อยแล้ว ต่อมาอีก 3 ปี นายแดงไปได้นางเขียวเป็นภริยาอีกคนหนึ่งทำให้นางดำโกรธมากจึงเกิดการโต้เถียงกันอย่างรุนแรง นางดำจึงไปหยิบปืนของนายแดงมาหวังจะยิงนายแดงให้ตาย นายเหลืองบุตรชายเห็นและเข้าไปห้ามปรามนายเหลืองจึงทำปืนลั่นถูกนางดำตาย ศาลได้พิพากษาจำคุกนายเหลือง 1 ปี ฐานทำให้คนตายโดยไม่เจตนา หลังจากนั้นทั้งนายแดงและนายเหลืองได้ไปขอรับเงินตามสัญญาประกันชีวิตในฐานะเป็นผู้รับประโยชน์ร่วมกัน จงวินิจฉัยว่า บริษัทจะจ่ายเงินตามสัญญาให้แก่ใคร หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 863 อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด
มาตรา 895 เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น เว้นแต่
(1) บุคคลผู้นั้นได้กระทำอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทำสัญญา หรือ
(2) บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา
ในกรณีที่ 2 นี้ ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น
วินิจฉัย
กรณีตามปัญหา พิจารณาบุคคลที่เกี่ยวข้องได้ดังนี้ คือ
1 นายแดง เป็นผู้เอาประกันชีวิตและเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาฯ
2 นางดำ เป็นผู้ถูกเอาประกันชีวิต
3 นายเหลือง เป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาฯ
นายแดงกับนางดำเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย นายแดงจึงสามารถเอาประกันชีวิตของนางดำได้ เพราะมีเหตุแห่งส่วนได้เสียตามมาตรา 863 สัญญาจึงมีผลผูกพัน เมื่อนางดำตายบริษัทต้องจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตให้กับนายแดงตามมาตรา 895 วรรคแรก เพราะไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 895 (1) หรือ (2) ส่วนกรณีที่นายเหลืองได้ทำปืนลั่นถูกนางดำมารดาตาย และศาลพิพากษาให้จำคุก 1 ปี ฐานทำให้คนตายโดยไม่เจตนานั้น ก็ไม่ได้เป็นกรณีที่ผู้รับประโยชน์ได้ฆ่าผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้ถูกเอาประกันชีวิตายโตยเจตนาตามมาตรา 895(2) ดังนั้นนายเหลืองจึงยังคงมีสิทธิได้รับเงินตามสัญญาประกันชีวิตในฐานะผู้รับประโยชน์ได้เช่นเดียวกับนายแดงผู้เป็นบิดา
สรุป บริษัทประกันชีวิต ขำกัด ต้องจ่ายเงินตามสัญญาให้แก่นายแดงและนายเหลือง