การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายเอกได้เอาประกันชีวิต  1  ล้านบาท  ในเหตุมรณะกับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่งในวันที่  1  มกราคม  2547  มีกำหนดสัญญา  5  ปี  ระบุให้นายโทเป็นผู้รับประโยชน์  โดยนายเอกไม่เปิดเผยเรื่องที่ตนเป็นโรคไส้เลื่อนให้บริษัทประกันภัยทราบ  ในวันที่  1  มกราคม  2550  นายเอกถึงแก่ความตายด้วยโรคมะเร็ง  ต่อมาบริษัทประกันภัยทราบเรื่องว่านายเอกไม่เปิดเผยความจริงเมื่อวันที่  31  ธันวาคม  2551  อันเป็นวันครบกำหนดสัญญาจึงรีบบอกล้างสัญญาประกันชีวิตรายนี้  ดังนี้  ถ้าท่านเป็นศาลจะวินิจฉัยคดีนี้อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  865  ถ้าในเวลาทำสัญญาประกันภัย  ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิตบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี  รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้  ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ

ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ก็ดี  หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกำหนดห้าปีนับแต่วันทำสัญญาก็ดี  ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป

มาตรา  890  จำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้น  จะชำระเป็นเงินจำนวนเดียว  หรือเป็นเงินรายปีก็ได้  สุดแล้วแต่จะตกลงกันระหว่างคู่สัญญา

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  นายเอกทำสัญญาประกันชีวิตตนเอง  ย่อมมีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกัน  สัญญาประกันชีวิตย่อมมีผลผูกพันตามมาตรา  863

การที่นายเอกซึ่งเป็นผู้เอาประกันชีวิตรู้อยู่แล้วละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงอันจะเป็นเหตุให้สัญญาประกันภัยตกเป็นโมฆียะตามมาตรา  865  วรรคแรกนั้น  จะต้องเป็นข้อความจริงที่มีลักษณะสำคัญถึงขนาดว่าอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีก  หรือบอกปัดไม่ทำสัญญา

แต่จากข้อเท็จจริง  แม้นายเอกไม่เปิดเผยเรื่องที่ตนเป็นโรคไส้เลื่อนให้บริษัทประกันภัยทราบก็ตาม  แต่โรคไส้เลื่อนมิใช่เป็นโรคที่มีอันตรายร้ายแรง  เมื่อผ่าตัดแล้วอาจหายได้  ยังไม่ถึงขนาดที่ว่าถ้านายเอกแจ้งความจริงนี้แล้ว  บริษัทประกันภัยจะบอกปัดไม่รับทำสัญญาหรือเรียกเบี้ยประกันให้สูงขึ้นตามมาตรา  865  วรรคแรก  ดังนั้นสัญญาประกันชีวิตฉบับนี้จึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย  ไม่เป็นโมฆียะ บริษัทประกันภัยไม่สามารถบอกล้างสัญญาฉบับนี้ได้  ต้องชำระเงินประกันชีวิต  1  ล้านบาทให้แก่นายโทผู้รับประโยชน์ตามมาตรา  890  (ฎ. 715/2513)

เมื่อสัญญาประกันชีวิตไม่เป็นโมฆียะ  กรณีจึงไม่มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยเรื่องกำหนดเวลา  1  เดือน  นับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างหรือกำหนด  5  ปี  นับแต่วันทำสัญญาตามมาตรา  865  วรรคสองแต่อย่างใด

สรุป  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล  จะวินิจฉัยให้บริษัทประกันภัยต้องชำระเงินประกันชีวิต  1  ล้านบาท  ให้แก่นายโทผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิต

 

ข้อ  2  นายรวยเจ้าของโรงงานทอผ้าได้เอาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทประกันวินาศภัยแห่งหนึ่ง  ต่อมานายรวยไล่นายมอมลูกจ้างออกเพราะติดยาบ้า  นายมอมโกรธแค้นมากจึงลอบวางเพลิงเผาโรงงานนี้  แต่คนงานอื่นเห็น  ได้ช่วยกันดับไฟจึงไม่ไหม้  นายรวยเห็นว่านายมอมคงไม่กล้าทำอีกเพราะได้แจ้งความกับตำรวจไว้แล้ว  จึงไม่จ้างยามมาเฝ้าและไม่จัดหาเครื่องดับเพลิงมาไว้ในโรงงาน  ปรากฏว่าในระหว่างอายุสัญญา  นายมอมย้อนกลับมาเผาโรงงานนี้อีกครั้งในเวลากลางคืน  เพลิงไหม้โรงงานหมด  นายรวยเรียกให้บริษัทประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน  แต่บริษัทประกันปฏิเสธอ้างว่านายรวยประมาท  เนื่องจากไม่จ้างยามและไม่หาเครื่องดับเพลิงมาเตรียมไว้เพื่อป้องกันภัย

จงวินิจฉัยว่า  บริษัทประกันต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  877  ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้  คือ 

(1)          เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง

วรรคท้าย  ท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้

มาตรา  879  วรรคแรก  ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในเรื่องความวินาศภัย  หรือเหตุอื่นซึ่งได้ระบุไว้ในสัญญานั้นได้เกิดขึ้นเพราะความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  นายรวยเอาโรงงานทอผ้าของตนทำประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทประกันวินาศภัยแห่งหนึ่ง  กรณีเช่นนี้ถือว่านายรวยเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยตามมาตรา  863  สัญญาประกันวินาศภัยจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  เมื่อมีภัยเกิดขึ้นตามที่ระบุไว้ในสัญญา  (อัคคีภัย)  บริษัทผู้รับประกันภัยจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันวินาศภัยให้กับนายแก้วหรือไม่  เห็นว่า  มาตรา  879  นั้น  เป็นบทบัญญัติที่ยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันภัย  จึงต้องตีความโดยเคร่งครัดว่า  บริษัทผู้รับประกันภัยมีสิทธิปฏิเสธไม่ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เอาประกันภัยได้  หากปรากฏว่าวินาศภัยที่เกิดขึ้นเกิดจากการกระทำโดยทุจริตหรือเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์เท่านั้น (ฎ. 1720/2534)  ถ้าเป็นความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของบุคคลอื่นๆ  แม้จะเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์สักเพียงใดก็ตาม  ก็ยังไม่ทำให้ผู้รับประกันภัยพ้นความรับผิดไปได้ (ฎ. 4830/2537)

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  การที่โรงงานทอผ้าของนายรวยผู้เอาประกันภัยถูกวางเพลิงมาแล้วครั้งหนึ่ง  แต่นายรวยไม่จ้างยามและไม่หาเครื่องดับเพลิงมาเตรียมไว้เพื่อป้องกันภัย  ทำให้นายมอมย้อนกลับมาเผาโรงงานที่เอาประกันภัยไว้จนไหม้หมดนั้นเป็นเพียงความประมาทเลินเล่ออย่างธรรมดาหรือประมาทเลินเล่อตามปกติธรรมดาของปุถุชน  ยังไม่ถึงขั้นประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง  กรณีจึงไม่เข้าข้อยกเว้นที่ผู้รับประกันภัยจะปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา  879  วรรคแรก  ดังนั้นบริษัทวินาศภัยยังคงมีหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับนายรวยตามจำนวนความเสียหายที่แท้จริง  แต่ไม่เกินจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้ตามมาตรา  87  วรรคแรก (1)  ประกอบวรรคท้าย (ฎ. 1742/2520)

สรุป  บริษัทประกันวินาศภัยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นายรวย

 

ข้อ  3  หนึ่งได้ทำสัญญาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุแห่งความทรงชีพ  ในวันที่  1  มกราคม  2551  ไว้กับบริษัทประกันชีวิต  จำกัด  จำนวนเงินที่เอาประกัน  1  ล้านบาท  สัญญากำหนด  5  ปี  ระบุให้สองบุตรชายเป็นผู้รับประโยชน์  หลังจากทำสัญญาได้ไม่นาน  หนึ่งทำธุรกิจขาดทุนทำให้เขาคิดมากคิดอยากฆ่าตัวตาย  จึงได้ดื่มยาพิษเข้าไปในวันที่  28  ธันวาคม  2551  สองบุตรชายได้นำตัวส่งโรงพยาบาล  แพทย์ได้ล้างท้องให้แต่ก็ยังทำให้เขาอ่อนเพลียอยู่มาก  ต่อมาอีก  2  วัน  เขาก็เสียชีวิตลง  สองบุตรชายจึงไปขอรับเงินตามสัญญาประกันชีวิตในฐานะผู้รับประโยชน์ 

จงวินิจฉัยว่า  บริษัทประกันชีวิตต้องจ่ายเงินตามสัญญาให้แก่สองอย่างไรหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  889  ในสัญญาประกันชีวิตนั้น  การใช้จำนวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของบุคคลคนหนึ่ง

มาตรา  890  จำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้น  จะชำระเป็นเงินจำนวนเดียว  หรือเป็นเงินรายปีก็ได้  สุดแล้วแต่จะตกลงกันระหว่างคู่สัญญา

มาตรา  895   เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น  เว้นแต่

(1)          บุคคลผู้นั้นได้กระทำอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทำสัญญา  หรือ

(2)          บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่  2  นี้  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  หนึ่งทำสัญญาประกันชีวิตตนเอง  ย่อมมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันสัญญาประกันชีวิตย่อมมีผลผูกพันคู่สัญญาตามมาตรา  863

การที่หนึ่งทำสัญญาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุแห่งการทรงชีพนั้น  บริษัทจะใช้เงินให้ตามสัญญาประกันชีวิตตามมาตรา  890  ตามจำนวนที่กำหนดไว้ในสัญญานั้น  หนึ่งผู้เอาประกันชีวิตและในขณะเดียวกันเขาก็เป็นผู้ถูกเอาประกันชีวิตด้วยนั้นจะต้องมีชีวิตอยู่จนครบตามสัญญา  คือ  ครบ  5  ปี  บริษัทประกันชีวิตจึงจะใช้เงินให้ตามมาตรา  889

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าหนึ่งได้ดื่มยาพิษฆ่าตัวตายก่อนครบกำหนดอายุสัญญาประกันชีวิต  นายสองผู้รับประโยชน์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินตามสัญญาดังกล่าว  และในกรณีนี้ก็ไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา  895  เพราะการที่จะปรับเข้ากับข้อกฎหมายตามมาตรา  895  นั้น  ต้องเป็นกรณีการประกันชีวิตโดยอาศัยเหตุแห่งการมรณะเท่านั้น  ฉะนั้นบทบัญญัติมาตรา  895  จึงไม่จำต้องนำมาพิจารณาในคดีนี้  ดังนั้นบริษัทประกันชีวิตจึงไม่ต้องจ่ายเงินตามสัญญาให้แก่สองผู้รับประโยชน์  สามารถยกข้อต่อสู้ว่าหนึ่งผู้เอาประกันชีวิตมิได้มีชีวิตอยู่จนครบระยะเวลาตามที่สัญญาประกันชีวิตแบบอาศัยความทรงชีพกำหนดไว้ขึ้นปฏิเสธความรับผิดต่อสองได้

สรุป  บริษัทประกันชีวิตจึงไม่ต้องจ่ายเงินตามสัญญาให้แก่สองผู้รับประโยชน์

Advertisement