การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4002 การว่าความและการจัดทําเอกสารทางกฎหมาย
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1. นายยู ชีจิน ทหารหนุ่มได้ขอทําสัญญากู้ยืมเงินจํานวน 10,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี กับ ดร.คัง โมยอน ซึ่งเป็นคุณหมอสาวสวย นายยู ชีจิน มีที่ดินโฉนดเลขที่ 1234 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ จังหวัดกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของตนจึงทําการจดทะเบียนจํานองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เขตบางกะปิ เพื่อเป็นการประกันการชําระหนี้เงินกู้ยืมเงินจํานวนดังกล่าว พร้อมระบุในสัญญาว่า
“ในกรณีที่มีการบังคับจํานองแล้วได้เงินไม่พอชําระยอดหนี้ เงินที่ยังขาดจํานวนนี้ ลูกหนี้ยังคงต้องรับผิดชดใช้ให้แก่ผู้รับจํานองจนครบถ้วนข้อตกลงเช่นนี้มีผลบังคับได้ไม่ถือว่าเป็น การผิดกฎหมาย ผู้รับจํานองมีสิทธิที่จะบังคับให้ลูกหนี้ชําระหนี้ส่วนที่ยังขาดจํานวนอยู่ดังกล่าวได้ อีกจนครบถ้วน” นอกจากนี้ โดยมีนายซอ แดยอง เพื่อนนายทหารร่วมทีมเดียวกับนายยู ชีจิน ยอม ทําหน้าที่เป็นผู้ค้ำประกันในสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าว โดยทําสัญญาว่าหากนายยู ชีจิน ไม่ชําระต้นเงิน และดอกเบี้ยตลอดจนบรรดาค่าเสียหายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเพราะผลแห่งการที่นายยู ชีจิน ผิดสัญญา ที่ให้แก่ ดร.คัง โมยอน ทั้งสิ้น ทั้งสามคนจึงเข้าทําสัญญาทั้งหมดในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2558 พร้อม กับมีการส่งมอบเงิน ณ โรงพยาบาลแฮซอง โดยมีกําหนดชําระคืนภายใน 1 ปี เมื่อนายยู ชีจิน ได้พบ กับ ดร.ดัง โมยอน ทั้งคู่จึงเริ่มที่จะมีความรู้สึกดี ๆ ต่อกัน แต่ทว่าอาทิตย์ต่อมานายยู ชีจิน ได้รับ มอบหมายภารกิจพิเศษ ให้ไปทํางานที่ประเทศอุรุก เพื่อดูแลรักษาความสงบในค่ายทหารของไทย แต่ครั้นพอครบกําหนดระยะเวลา 1 ปี ดร.คัง โมยอน ก็ยังไม่ได้รับการชําระเงินกู้ วันถัดมาจึงมา ปรึกษากับท่านในฐานะทนายความให้ส่งหนังสือทวงถามไปยังนายยู ชีจิน และผู้ค้ำประกัน ให้มา ชําระเงินจํานวน 10,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยเพียง 10,000 บาท ซึ่งทั้งคู่กลับเพิกเฉย ดังนั้น ดร.คัง โมยอน ต้องการจะฟ้องบังคับอย่างลูกหนี้สามัญจึงให้ท่านดําเนินการฟ้องคดีแพ่งเรียกคืน เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยทั้งหมดจากนายยู ชีจิน และผู้ค้ำประกัน
คําสั่ง ให้ร่างเฉพาะเนื้อหาคําฟ้องและคําขอท้ายฟ้องคดีแพ่งคดีนี้
ธงคําตอบ
คําฟ้องแพ่ง
ข้อ 1. เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2558 จําเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ไปเป็นจํานวน 10,000,000 บาท (สิบล้านบาทถ้วน) โดยจําเลยที่ 1 สัญญาว่าจําชําระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันทําสัญญาเป็นต้นไป และจะชําระต้นเงินคืนให้แก่โจทก์ภายในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2559 ในการทําสัญญา กู้ยืมเงินนี้ จําเลยที่ 1 ได้นําโฉนดที่ดินเลขที่ 1234 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ จังหวัดกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็น กรรมสิทธิ์ของจําเลยที่ 1 จดทะเบียนจํานองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เขตบางกะปิ เพื่อเป็นการประกันการชําระหนี้เงิน กู้ยืมเงินจํานวนดังกล่าว โดยในวันทําสัญญากู้ยืมเงิน จําเลยที่ 1 ได้รับเงินไปจากโจทก์เรียบร้อยแล้ว ปรากฏตาม สําเนาภาพถ่ายหนังสือสัญญากู้ยืมเงินและโฉนดที่ดิน เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 และ 2 ตามลําดับ
ในการทําสัญญากู้ยืมเงินและวางโฉนดที่ดินเป็นประกันดังกล่าว จําเลยที่ 2 ได้เข้าผูกพันตน เป็นผู้ค้ำประกันในการกู้ยืมเงินของจําเลยที่ 1 โดยจําเลยที่ 2 สัญญาว่าหากจําเลยที่ 1 ไม่ชําระต้นเงินและดอกเบี้ย ตลอดจนบรรดาค่าเสียหายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเพราะผลแห่งการที่จําเลยที่ 1 ผิดสัญญาให้แก่โจทก์ทั้งสิ้น ปรากฎ ตามสําเนาภาพถ่ายหนังสือสัญญาค้ําประกัน เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3
ข้อ 2. เมื่อครบกําหนดระยะเวลาการชําระหนี้ตามสัญญากู้ จําเลยที่ 1 ไม่ยอมชําระหนี้เงินกู้ จํานวน 10,000,000 บาท (สิบล้านบาทถ้วน) ดังกล่าว ทั้งไม่เคยชําระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามสัญญาเลย โจทก์ จึงได้ติดต่อทวงถามให้จําเลยที่ 1 และจําเลยที่ 2 ชําระต้นเงินและดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ แต่จําเลยทั้งสองก็เพิกเฉย การกระทําของจําเลยทั้งสองดังกล่าวจึงเป็นการผิดสัญญากู้ยืมเงิน ทําให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงได้ส่ง หนังสือทวงถามลงทะเบียนไปรษณีย์เรียกให้จําเลยที่ 1 และจําเลยที่ 2 ชําระต้นเงินคืนให้แก่โจทก์จํานวน 10,000,000 บาท (สิบล้านบาทถ้วน) และดอกเบี้ย รายละเอียดปรากฏตามสําเนาหนังสือทวงถามและไปรษณีย์ ลงทะเบียนตอบรับของเอกสารท้ายฟ้อง หมายเลข 4 – 7 จําเลยทั้งสองได้รับหนังสือทวงถามแต่กลับเพิกเฉย
ข้อ 3. การที่จําเลยที่ 1 และจําเลยที่ 2 ไม่ชําระต้นเงินและดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามสัญญา กู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันดังกล่าว เป็นการผิดสัญญาต่อโจทก์ ซึ่งจําเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องชดใช้เงินกู้ยืมจํานวน 10,000,000 บาท (สิบล้านบาทถ้วน) และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่จําเลยที่ 1 ผิดนัด แต่โจทก์ ขอคิดดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องเพียง 10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) รวมเป็นต้นเงินและดอกเบี้ยที่จําเลยที่ 1 จะต้อง ชําระให้แก่โจทก์เป็นเงินทั้งสิ้น 10,010,000 บาท (สิบล้านหนึ่งหมื่นบาทถ้วน)
จําเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันต้องรับผิดชอบร่วมกันหรือแทนกันกับจําเลยที่ 1 ในการชําระ ต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงินทั้งสิ้น 10,010,000 บาท (สิบล้านหนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ให้แก่โจทก์ด้วย
โจทก์ไม่มีทางอื่นใดที่จะบังคับจําเลยได้ จึงต้องมาฟ้องเป็นคดีนี้ เพื่อขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง เพื่อบังคับจําเลยต่อไป
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
ลงชื่อ …. (ลายมือชื่อนักศึกษา)…. ทนายโจทก์
คําร้องฉบับนี้ ข้าพเจ้า (ชื่อนักศึกษา) ทนายโจทก์เป็นผู้เรียงและพิมพ์
ลงชื่อ …… (ลายมือชื่อนักศึกษา)……… ผู้เรียงและพิมพ์
คําขอท้ายฟ้อง
ข้อ 1. ให้จําเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชําระต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชําระรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 10,010,000 บาท (สิบล้านหนึ่งหมื่นบาทถ้วน)
ข้อ 2. ให้จําเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชําระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 10,010,000 บาท (สิบล้านหนึ่งหมื่นบาทถ้วน) นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจําเลยทั้งสองจะชําระเสร็จสิ้น
ข้อ 3. ให้จําเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์
ข้อ 2. นายปรีดาวิทย์เป็นโจทก์ฟ้องนายคมสันต์จําเลยข้อหาละเมิดเรียกค่าเสียหายว่า เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2558 เวลาประมาณ 20.00 น. นายคมสันต์ได้ขับรถยนต์แท็กซี่รับจ้างคันหมายเลข ทะเบียน กท 1234 ไปตามถนนเอกมัยด้วยความประมาทเลินเล่อและผิดกฎหมาย กล่าวคือคมสันต์ ขับรถด้วยความเร็วสูงในขณะฝนตกถนนลื่นและไม่ระมัดระวังถือพวงมาลัยขับรถให้อยู่ด้านซ้าย ของทางตามกฎหมาย โดยขับรถด้วยความประมาทวิ่งกินทางด้านขวาเข้าไปในทางวิ่งของรถที่วิ่งสวนมา เป็นเหตุให้รถยนต์ที่นายคมสันต์ขับชนรถยนต์ของนายปรีดาวิทย์คันหมายเลขทะเบียน กท 5678 ขับแล่นสวนทางมาและเดินรถอยู่ในทางของตนตามกฎหมายโดยแรง ทําให้รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ดังกล่าวของนายปรีดาวิทยได้รับความเสียหายคิดเป็นเงิน 100,000 บาท ตามใบเสร็จรับเงินค่าซ่อมรถ จากอู่ซ่อมรถเอกมัย จึงฟ้องเรียกเงินค่าเสียหายจากนายคมสันต์จําเลย 100,000 บาทถ้วน นายคมสันต์จําเลยจึงแต่งตั้งท่านเป็นทนายความเพื่อร่างคําให้การต่อสู้คดีดังนี้
1 นายคมสันต์ ไม่ได้ขับรถยนต์ชนรถยนต์ของนายปรีดาวิทย์ โดยขับรถด้วยอัตราความเร็วปกติ ไม่ได้ประมาทเลินเล่อแต่อย่างใด แต่นายปรีดาวิทย์เป็นฝ่ายขับรถโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงและขับเร็วมาชนรถยนต์ของนายคมสันต์เอง
2 ค่าเสียหายที่นายปรีดาวิทย์เรียกร้องนั้นเกินความจริง หากจะเรียกก็คงไม่เกิน 50,000 บาท ให้ท่านในฐานะทนายความของนายคมสันต์ ร่างคําให้การตามความประสงค์ของนายคมสันต์
(ร่างเฉพาะคําให้การโดยไม่คํานึงถึงแบบฟอร์มของศาล)
ธงคําตอบ
คําให้การ
จําเลยได้ทราบคําฟ้องของโจทก์แล้ว ขอให้การปฏิเสธดังมีข้อความต่อไปนี้
ข้อ 1. จําเลยไม่ได้ขับรถยนต์ชนรถยนต์ของโจทก์ โดยขับรถด้วยอัตราความเร็วปกติ ไม่ได้ประมาทเลินเล่อแต่อย่างใด แต่โจทก์เป็นฝ่ายขับรถโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงและขับเร็วมาชนรถยนต์ ของจําเลยเอง
ข้อ 2. ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องนั้นเกินความจริง หากจะเรียกก็คงไม่เกิน 50,000 บาท
อาศัยเหตุผลดังกล่าว ขอศาลได้โปรดพิพากษายกฟ้องของโจทก์ โดยให้โจทก์เสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนจําเลยด้วย
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
ลงชื่อ…….. (ลายมือชื่อนักศึกษา)……. ทนายจําเลย
คําให้การฉบับนี้ ข้าพเจ้า (ชื่อนักศึกษา) ทนายจําเลยเป็นผู้เรียงและพิมพ์
ลงชื่อ ……. (ลายมือชื่อนักศึกษา)……….. ผู้เรียงและพิมพ์
ข้อ 3. เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2559 เวลาประมาณ 01.00 นาฬิกา ขณะที่นายขาว มีทรัพย์ คนพิการกําลังเดินอยู่บนซอยโชคชัย 4 แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ได้มีนายแดง นายดํา นายเขียว เข้าไปรุมชกต่อย นายดําเละนายแดงจับตัวนายขาวเอาไว้และให้นายเขียวใช้อาวุธมีดแทงนายขาว จํานวนห้าครั้งบริเวณลําคอและช่องท้องเป็นเหตุให้นายขาวถึงแก่ความตาย จากนั้นทั้งสามพากัน หลบหนีไป ต่อมาวันที่ 5 พฤษภาคม 2559 เวลา 08.00 น. เจ้าพนักงานตํารวจจับนายแดงและนายดํา ได้นําส่งพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจนครบาลโชคชัยทําการสอบสวน ชั้นสอบสวนนายแดงให้การรับสารภาพ ส่วนนายดําให้การปฏิเสธ เมื่อครบกําหนดควบคุมตัวพนักงานสอบสวนจึงได้นํา นายแดงและนายดําไปฝากขังที่ศาลอาญาตามคดีหมายเลขดําที่ ฝ. 559/2559 ต่อมาเมื่อสอบสวนเสร็จ พนักงานสอบสวนได้สรุปสํานวนการสอบสวนส่งพนักงานอัยการ สํานักงานคดีอาญา
ข้อกฎหมาย ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 288 ผู้ใดฆ่าผู้อื่น ต้องระวางโทษ…
หากนักศึกษาเป็นพนักงานอัยการสํานักงานคดีอาญาผู้รับผิดชอบดําเนินคดีนี้ ให้นักศึกษาเรียงคําฟ้อง เพื่อฟ้องนายแดงและนายดําในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา (เฉพาะเนื้อหาคําฟ้องโดยไม่ต้องคํานึงถึงแบบพิมพ์คําฟ้อง)
ธงคําตอบ
หากข้าพเจ้าเป็นพนักงานอัยการสํานักงานคดีอาญาผู้รับผิดชอบดําเนินคดีนี้ ข้าพเจ้าจะเรียงคําฟ้องเพื่อฟ้องนายแดงและนายดําในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ดังนี้
คําฟ้องอาญา
ข้อ 1. เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2559 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จําเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องอีกหนึ่งคน ได้ร่วมกันใช้อาวุธมีดแทงนายขาว มีทรัพย์ ผู้ตายห้าครั้งบริเวณลําคอและช่องท้อง เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายทันทีสมดังเจตนาของจําเลยทั้งสองกับพวก รายละเอียดปรากฏตามใบชันสูตรพลิกศพ แพทย์ตามฟ้อง
เหตุเกิดที่แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร
ข้อ 2. ต่อมาวันที่ 5 พฤษภาคม 2559 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานจับจําเลยทั้งสองได้นําส่ง พนักงานสอบสวนทําการสอบสวน
ชั้นสอบสวนจําเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ส่วนจําเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ระหว่างสอบสวน จําเลยทั้งสองถูกควบคุมตัวมาตลอด ขณะนี้ต้องขังอยู่ตามหมายขังของศาลนี้ ตามคดีหมายเลขดําที่ ฝ. 559/2559 ขอศาลได้โปรดเบิกตัวจําเลยทั้งสองมาเพื่อพิจารณาพิพากษาลงโทษตาม กฎหมายต่อไป