การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3011 กฎหมายลักษณะพยาน
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 โจทก์ได้รับมอบอํานาจจากนายสมชายให้ยื่นฟ้องจําเลยว่าจําเลยเข้าไปก่อสร้างรั้วคอนกรีตสิ่งปลูกสร้างและต้นไม้ในที่ดินของนายสมชาย ขอให้รื้อถอนออกไปจากที่ดิน จําเลยยื่นคําให้การต่อสู้ว่า หนังสือมอบอํานาจที่นายสมชายมอบอํานาจให้โจทก์มาฟ้องคดีถูกต้องหรือไม่ จําเลย ไม่ทราบไม่รับรอง โจทก์ไม่มีอํานาจฟ้อง อีกทั้งจําเลยมิได้รุกล้ำที่ดินของใคร แต่จําเลยกระทําลงบนที่ดินของจําเลยที่ซื้อมา หลังจากซื้อมาแล้ว จําเลยได้ครอบครองโดยสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปีแล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ให้ท่านจงตั้งประเด็นข้อพิพาทในคดี และกําหนดภาระการพิสูจน์ จากข้อเท็จจริงที่ให้มา
ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 84 “การวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในคดีจะต้องกระทําโดยอาศัยพยานหลักฐาน ในสํานวนคดีนั้น เว้นแต่
(3) ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับหรือถือว่ารับกันแล้ว ในศาล”
มาตรา 84/1 “คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริง เพื่อสนับสนุนคําคู่ความของตนให้คู่ความ ฝ่ายนั้นมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น แต่ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายหรือมีข้อสันนิษฐานที่ควรจะเป็นซึ่งปรากฏ จากสภาพปกติธรรมดาของเหตุการณ์เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตาม เงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว”
มาตรา 177 วรรคสอง “ให้จําเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคําให้การว่า จําเลยยอมรับหรือปฏิเสธ ข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น”
มาตรา 183 “ข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างแต่คู่ความฝ่ายอื่น ไม่รับและเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับประเด็นข้อพิพาทตามคําคู่ความ ให้ศาลกําหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท และ กําหนดให้คู่ความฝ่ายใดนําพยานหลักฐานมาสืบในประเด็นข้อใดก่อนหรือหลังก็ได้”
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย ดังนี้คือ
1 คดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทว่าอย่างไร
2 ภาระการพิสูจน์หรือหน้าที่นําสืบตกแก่คู่ความฝ่ายใด
ประเด็นที่ 1 คดีนี้ประเด็นข้อพิพาทว่าอย่างไร
คําว่า “ประเด็นข้อพิพาท” หมายถึง ข้ออ้างข้อเถียงในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างในคําคู่ความ และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ ดังนั้นปัญหาข้อใดที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างและคู่ความ อีกฝ่ายหนึ่งรับแล้ว ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ได้รับมอบอํานาจจากนายสมชายให้ยื่นฟ้องจําเลยว่า จําเลย เข้าไปก่อสร้างรั้วคอนกรีต สิ่งปลูกสร้างและต้นไม้ในที่ดินของโจทก์ ขอให้จําเลยรื้อถอนออกไปจากที่ดิน และจําเลยให้การในตอนแรกว่า จําเลยมิได้รุกล้ำที่ดินของใคร แต่จําเลยกระทําลงบนที่ดินของจําเลยที่ซื้อมา ที่ดิน เป็นของจําเลยแล้วนั้น จากคําฟ้องและคําให้การของจําเลยดังกล่าว จึงมีประเด็นข้อพิพาทเพียงประเด็นเดียวว่า “ที่ดินพิพาทที่ก่อสร้างรั้วคอนกรีต สิ่งปลูกสร้างและต้นไม้นั้น เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือจําเลย”
ส่วนคําให้การของจําเลยที่ว่า หนังสือมอบอํานาจที่นายสมชายมอบอํานาจให้โจทก์มาฟ้องคดี ถูกต้องหรือไม่ จําเลยไม่ทราบไม่รับรอง โจทก็ไม่มีอํานาจฟ้องนั้น เป็นคําให้การที่มิใช่เป็นการปฏิเสธความแท้จริง ของหนังสือมอบอํานาจ การที่จําเลยไม่ทราบไม่ใช่เหตุที่จะทําให้หนังเอมอบอํานาจของโจทก์ต้องเสียไป และที่ จําเลยไม่รับรองก็ยังไม่ชัดแจ้งเพียงพอว่าโจทก์ไม่มีอํานาจฟ้อง จึงเป็นคําให้การที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.แพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง และให้ถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่จําเลยยอมรับแล้วตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 84 (3) จึงไม่ก่อให้เกิด ประเด็นข้อพิพาทในคดี
และการที่จําเลยให้การตอนหลังว่า หลังจากซื้อมาแล้ว จําเลยได้ครอบครองโดยสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของเกิน 10 ปีแล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์นั้น เป็นคําให้การที่ขัดแย้งกับ คําให้การของจําเลยในตอนแรก คําให้การในตอนหลังนี้เท่ากับจําเลยได้ให้การว่าที่ดินพิพาทไม่ได้เป็นของจําเลย จึงถือเป็นคําให้การที่ไม่ชัดแจ้งและไม่ชอบด้วย ป.วิ.แพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จึงไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาท ในคดีว่าจําเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ เพราะการครอบครองปรปักษ์จะมีได้แต่เฉพาะ ที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น (คําพิพากษาฎีกาที่ 1069/2554)
ประเด็นที่ 2 ภาระการพิสูจน์หรือหน้าที่นําสืบตกแก่คู่ความฝ่ายใด
สําหรับภาระการพิสูจน์หรือหน้าที่นําสืบนั้นตาม ป วิ.แพ่ง มาตรา 84/1 ได้กําหนดหลักเกณฑ์ ไว้ว่า ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด ผู้นั้นมีหน้าที่นําสืบ
ตามอุทาหรณ์ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์เป็นเจ้า ของที่ดินพิพาท และจําเลยให้การปฏิเสธ ดังนั้น โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามที่กล่าวอ้าง
สรุป
คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจําเลย โจทก์มีภาระการพิสูจน์ ตามที่กล่าวอ้าง
ข้อ 2 เจ้าพนักงานตํารวจตั้งด่านจับตัวนายสมปองได้พร้อมทั้งเมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า) 5 เม็ด จึงสอบถามว่า ซื้อมาจากที่ใดแต่นายสมปองไม่ยอมบอก เจ้าพนักงานตํารวจจึงบอกต่อนายสมปองว่า “หากนายสมปองยอมบอกแหล่งที่มาว่าซื้อมาจากใคร จะกันตัวไว้เป็นพยานไม่ดําเนินคดีต่อนายสมปอง” นายสมปองจึงยินยอมบอกว่าซื้อเมทแอมเฟตามีนมาจากนายชนะ เจ้าพนักงานตํารวจจึงให้นายสมปอง ไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากนายชนะ เมื่อนายชนะนําเมทแอมเฟตามีนมาให้นายสมปอง 100 เม็ด เจ้าพนักงานตํารวจจึงแสดงตัวเข้าจับกุม จนกระทั่งมีการสอบสวนและส่งฟ้องโดยพนักงานอัยการ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายชนะเป็นจําเลยให้รับผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจําหน่าย โดยในบัญชีระบุพยานโจทก์ได้ยื่นพยานหลักฐานดังต่อไปนี้
ก. นายสมปองเป็นพยานบุคคลในชั้นศาล
ข. คําให้การในชั้นจับกุมของนายสมปองว่า ตนซื้อเมทแอมเฟตามีนมาจากนายชนะจําเลย
ค. เมทแอมเฟตามีนจํานวน 100 เม็ด ที่นายชนะจําเลย ขาย
ให้ท่านวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานดังต่อไปนี้รับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 226 “พยานวัตถุ พยานเอกสาร หรือพยานบุคคลซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจําเลยมีผิด หรือบริสุทธิ์ ให้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้ แต่ต้องเป็นพยานชนิดที่มิได้เกิดขึ้นจากการจูงใจ มีคํามั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวงหรือโดยมิชอบประการอื่น และให้สืบตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นอันว่า ด้วยการสืบพยาน”
มาตรา 226/1 “ในกรณีที่ความปรากฏแก่ศาล พยานหลักฐานใดเป็นพยานหลักฐานที่ เกิดขึ้นโดยชอบแต่ได้มาเนื่องจากการกระทําโดยมิชอบ หรือเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยอาศัยข้อมูลที่เกิดขึ้น หรือได้มาโดยมิชอบ ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานนั้น เว้นแต่การรับฟังพยานหลักฐานนั้นจะเป็นประโยชน์ ต่อการอํานวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสียอันเกิดจากผลกระทบต่อมาตรฐานของระบบงานยุติธรรมทางอาญา หรือสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชน
ในการใช้ดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐานตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลพิจารณาถึงพฤติการณ์ทั้งปวง แห่งคดี…”
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้
ก. การที่เจ้าพนักงานตํารวจตั้งด่านจับตัวนายสมปองได้พร้อมทั้งเมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า) 5 เม็ด และได้บอกกับนายสมปองว่า “หากนายสมปองยอมบอกแหล่งที่มาว่าซื้อมาจากใคร จะกันตัวไว้เป็นพยาน ไม่ดําเนินคดีต่อนายสมปอง” นายสมปองจึงยินยอมบอกว่าซื้อเมทแอมเฟตามีนมาจากนายชนะ เจ้าพนักงานตํารวจ จึงให้นายสมปองไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากนายชนะ จนสามารถจับกุมตัวนายชนะพร้อมเมทแอมเฟตามีน 100 เม็ดนั้น จะเห็นได้ว่า การที่นายสมปองได้ไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากนายชนะนั้นได้เกิดขึ้นจากการจูงใจ และการให้คํามั่นสัญญาจากเจ้าพนักงานตํารวจว่าจะไม่ดําเนินคดีกับนายสมปอง จึงถือว่านายสมปองเป็น พยานบุคคลชนิดที่เกิดจากการจูงใจ มีคํามั่นสัญญา พนักงานอัยการโจทก์จึงไม่สามารถอ้างนายสมปองเป็นพยาน ในคดีนี้ได้ ต้องห้ามตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 226 เพราะถือว่าเป็นพยานที่เกิดขึ้นโดยมิชอบ ดังนั้น การที่นายสมปอง เป็นพยานบุคคลในชั้นศาล จึงรับฟังไม่ได้
ข. คําให้การในชั้นจับกุมของนายสมปองว่าตนซื้อเมทแอมเฟตามีนมาจากนายชนะจําเลยนั้น ถือเป็นพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นจากการจูงใจและการให้คํามั่นสัญญาจากเจ้าพนักงานตํารวจว่าจะไม่ดําเนินคดีกับ นายสมปองเช่นเดียวกัน จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 226 เพราะเป็นพยานที่เกิดขึ้นโดยมิชอบ จึงห้าม มิให้ศาลรับฟัง
ค. เมทแอมเฟตามีนจํานวน 100 เม็ดที่นายชนะจําเลยขาย ถือว่าเป็นพยานวัตถุและเป็น พยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยชอบ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อการที่ตํารวจได้บนายชนะและยึดเมทแอมเฟตามีนได้นั้น เป็นเพราะตํารวจได้ใช้ให้นายสมปองไปล่อซื้อจากนายชนะโดยการจูงใจ ให้คํามั่นสัญญาว่าจะไม่ดําเนินคดีกับ นายสมปอง ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงถือได้ว่า เมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า) ที่พนักงานอัยการโจทก์ได้ นํามาเป็นพยานต่อศาลนั้น แม้จะเป็นพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยชอบแต่เป็นพยานหลักฐานที่ได้มาเนื่องจาก การกระทําโดยมิชอบ หรือได้มาโดยอาศัยข้อมูลที่เกิดขึ้นหรือได้มาโดยมิชอบ ดังนั้น จึงห้ามมิให้ศาลรับฟัง พยานหลักฐานดังกล่าว เว้นแต่ศาลอาจใช้ดุลพินิจรับฟังได้ ถ้าศาลเห็นว่าการรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อการอํานวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสียอันเกิดจากผลกระทบต่อมาตรฐานของระบบงาน ยุติธรรมทางอาญาตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 226/1
สรุป
ก. การที่นายสมปองเป็นพยานบุคคลในชั้นศาล และ
ข. คําให้การในชั้นจับกุมของ นายสมปองดังกล่าว ศาลจะรับฟังพยานหลักฐานไม่ได้เพราะต้องห้ามตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 226
ส่วน ค. เมทแอมเฟตามีนจํานวน 100 เม็ด ที่นายชนะจําเลยขายก็ห้ามมิให้ศาลรับฟัง พยานหลักฐานชนิดนี้เช่นกัน เว้นแต่ศาลอาจใช้ดุลพินิจรับฟังถ้าศาลเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการอํานวยความ ยุติธรรมมากกว่าผลเสียอันเกิดจากผลกระทบต่อมาตรฐานของระบบงานยุติธรรมทางอาญาตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 226/1
ข้อ 3 โจทก์ยื่นฟ้องจําเลยว่าจําเลยกู้เงินโจทก์ไปไม่คืนตามระยะเวลาที่กําหนด ผิดสัญญากู้ยืม ขอให้จําเลยชําระหนี้ จําเลยยื่นคําให้การว่าตนคืนเงินโจทก์แล้ว โดยมารดาโจทก์รับเงินแทนไว้โดยมีการทําหนังสือรับชําระเงินกู้แล้ว โดยหนังสือนี้ถูกเก็บไว้ที่มารดาโจทก์และมีนายสุธรรมเซ็นชื่อเป็นพยาน กรณีนี้หากจําเลยต้องการนําหนังสือรับชําระเงินกู้ที่อยู่กับมารดาโจทก์เข้าสืบให้ศาลรับฟังเป็น พยานหลักฐานในสํานวนจะต้องทําอย่างไร และหากมารดาโจทก์ไม่ส่งเอกสารมาให้ จําเลยจะสามารถ นําตัวนายสุธรรมพยานบุคคลมาสืบแทนหนังสือรับชําระหนี้ดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 90 วรรคหนึ่ง วรรคสามและวรรคท้าย “ให้คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงเอกสารเป็นพยานหลักฐาน เพื่อสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อเถียงของตนตามมาตรา 88 วรรคหนึ่ง ยื่นต่อศาลและส่งให้คู่ความฝ่ายอื่นซึ่งสําเนา เอกสารนั้นก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน
คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงพยานหลักฐานไม่ต้องยื่นสําเนาเอกสารต่อศาล และไม่ต้องส่งสําเนาเอกสาร ให้คู่ความฝ่ายอื่นในกรณีดังต่อไปนี้
(2) เมื่อคู่ความฝ่ายใดอ้างอิงเอกสารฉบับเดียวหรือหลายฉบับที่อยู่ในความครอบครองของ คู่ความฝ่ายอื่นหรือของบุคคลภายนอก
กรณีตาม (2) ให้คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงเอกสารขอให้ศายมีคําสั่งเรียกเอกสารนั้นมาจากผู้ครอบครอง ตามมาตรา 123 โดยต้องยื่นคําร้องต่อศาลภายในกําหนดเวลาตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง แล้วแต่กรณี และให้ คู่ความฝ่ายนั้นมีหน้าที่ติดตามเพื่อให้ได้เอกสารดังกล่าวมาภายในเวลาที่ศาลกําหนด”
มาตรา 93 “การอ้างเอกสารเป็นพยานหลักฐานให้ยอมรับฟังได้เฉพาะต้นฉบับเอกสารเท่านั้น เว้นแต่
(2) ถ้าต้นฉบับเอกสารนํามาไม่ได้ เพราะถูกทําลายโดยเหตุสุดวิสัย หรือสูญหาย หรือไม่ สามารถนํามาได้โดยประการอื่น อันมิใช่เกิดจากพฤติการณ์ที่ผู้อ้างต้องรับผิดชอบ หรือเมื่อศาลเห็นว่าเป็นกรณีจําเป็น และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะต้องสืบสําเนาเอกสารหรือพยานบุคคลแทนต้นฉบับเอกสารที่นํามา ไม่ได้นั้น ศาลจะอนุญาตให้นําสําเนาหรือพยานบุคคลมาสืบก็ได้”
มาตรา 94 “เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟัง พยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี
(ก) ขอสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสาร เมื่อไม่สามารถนําเอกสารมาแสดง
(ข) ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อได้นําเอกสารมาแสดงแล้วว่า ยังมีข้อความเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก
แต่ว่าบทบัญญัติแห่งมาตรานี้ มิให้ใช้บังคับในกรณีที่บัญญัติไว้ในอนุมาตรา (2) แห่งมาตรา 93 และมิให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนําพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่าพยานเอกสาร ที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด หรือแต่บางส่วน หรือสัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้น ไม่สมบูรณ์ หรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด”
มาตรา 123 “ถ้าต้นฉบับเอกสารซึ่งคู่ความฝ่ายหนึ่งอ้างอิงเป็นพยานหลักฐานนั้นอยู่ใน ความครอบครองของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง คู่ความฝ่ายที่อ้างจะยื่นคําขอ โดยทําเป็นคําร้องต่อศาลขอให้สังคู่ความ อีกฝ่ายหนึ่งส่งต้นฉบับเอกสารแทนการที่ตนจะต้องส่งสําเนาเอกสารนั้นก็ได้ ถ้าศาลเห็นว่าเอกสารนั้นเป็น พยานหลักฐานสําคัญ และคําร้องนั้นฟังได้ ให้ศาลมีคําสั่งให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งยื่นต้นฉบับเอกสารต่อศาลภายในเวลา อันสมควรแล้วแต่ศาลจะกําหนด
ถ้าต้นฉบับเอกสารอยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอก หรือในครอบครองของทางราชการ หรือของเจ้าหน้าที่ซึ่งคู่ความที่อ้างไม่อาจร้องขอโดยตรงให้ส่งเอกสารนั้นมาได้ ให้นําบทบัญญัติในวรรคก่อนว่า ด้วยการที่คู่ความฝ่ายที่อ้างเอกสารยื่นคําขอ และการที่ศาลมีคําสั่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ทั้งนี้ฝ่ายที่อ้างต้องส่ง คําสั่งศาลแก่ผู้ครอบครองเอกสารนั้นล่วงหน้าอย่างน้อยเจ็ดวัน ถ้าไม่ได้เอกสารนั้นมาสืบตามกําหนด เมื่อศาล เห็นสมควรก็ให้ศาลสืบพยานต่อไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 93 (2)”
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ฟ้องว่าจําเลยทําสัญญากู้เงินโจทก์แต่ไม่ยอมชําระคืน และ จําเลยต่อสู้ว่าได้ชําระเงินคืนแก่โจทก์แล้ว โดยเอกสารการรับชําระเงินอยู่กับมารดาโจทก์แต่มารดาโจทก์ไม่ยอม มอบให้จําเลยนั้น ถือว่าจําเลยได้อ้างอิงเอกสารเป็นพยานหลักฐาน พื่อสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อเถียงของตน ดังนั้น โดยหลักแล้วจําเลยจะต้องนําสําเนาเอกสารการรับชําระหนี้ยื่นต่อศาล และส่งสําเนาเอกสารดังกล่าวให้แก่ โจทก์ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน (ป.วิ.แพ่ง มาตรา 90 วรรคหนึ่ง)
แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเอกสารการรับชําระเงินกู้ที่จําเลยอ้างอิงนั้นอยู่กับมารดาโจทก์ ซึ่งถือว่าอยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอก ดังนั้นจําเลยจึงไม่ต้องยื่นสําเนาเอกสารต่อศาล และไม่ต้อง ส่งสําเนาเอกสารให้แก่โจทก์ (ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 90 วรรคสาม (2)
และตามอุทาหรณ์นั้นวินิจฉัยได้ดังนี้
หากจําเลยต้องการน้ําเอกสารการรับชําระเงินกู้ดังกล่าวมาเป็นพยานหลักฐาน จําเลยจะต้อง ปฏิบัติตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 90 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 123 กล่าวคือ จําเลยจะต้องยื่นคําขอโดยทําเป็น คําร้องต่อศาล ขอให้สั่งให้บุคคลภายนอก (มารดาโจทก์) ส่งต้นฉบับเอกสารดังกล่าวแทนการที่จําเลยจะต้องส่ง สําเนาเอกสารนั้น และถ้าศาลเห็นว่าเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานสําคัญและคําร้องของจําเลยนั้นฟังได้ ให้ศาล มีคําสั่งให้มารดาโจทก์ยื่นต้นฉบับเอกสเรต่อศาลภายในเวลาอันสมควรแล้วแต่ศาลจะกําหนด แต่จําเลยจะต้อง ส่งคําสั่งศาลให้แก่มารดาโจทก์ผู้ครอบครองเอกสารนั้นล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน
ถ้าจําเลยทําตามวิธีการดังกล่าวแล้ว แต่มารดาโจทก์ปฏิเสธในการส่งเอกสารมายังศาล ย่อมถือว่าเป็นกรณีที่นําต้นฉบับเอกสารมาไม่ได้ เพราะสูญหายหรือไม่สามารถนํามาได้โดยประการอื่น อันมิใช่เกิดจาก พฤติการณ์ที่จําเลยผู้อ้างอิงเอกสารต้องรับผิดชอบตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 93 (2) และเมื่อไม่ได้เอกสารนั้นมาสืบ ตามกําหนด เมื่อศาลเห็นสมควรก็ให้ศาล สืบพยานต่อไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 93 (2) (ป.วิ.แพ่ง มาตรา 123 วรรคสอง) กล่าวคือ ศาลจะสืบพยานต่อไปโดยอนุญาตให้นําสําเนาหรือพยานบุคคลมาสืบก็ได้
และตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 94 วรรคหนึ่ง (ก) ได้บัญญัติหลักไว้ว่า เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ย่อมต้องห้ามมิให้นําพยานบุคคลมาสืบแทบพยานเอกสารในเมื่อไม่สามารถนําเอกสาร มาแสดง แต่อย่างไรก็ตามหลักดังกล่าวมีข้อยกเว้นตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 94 วรรคสอง คือในกรณีที่ต้นฉบับเอกสาร สูญหาย หรือถูกทําลายโดยเหตุสุดวิสัย หรือไม่สามารถนําต้นฉบับมาได้โดยประการอื่น (ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 93 (2) ดังนี้ ย่อมสามารถนําพยานบุคคลมาสืบเทนพยานเอกสารได้
ดังนั้น ตามอุทาหรณ์ เมื่อมารดาโจทก์ปฏิเสธในการส่งเอกสารและเป็นกรณีที่ถือว่า นําต้นฉบับเอกสารมาไม่ได้ เพราะสูญหายหรือไม่สามารถนํามาได้โดย ประการอื่นตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 93 (2) จําเลยจึงสามารถที่จะขอนําตัวนายสุธรรมพยานบุคคลมาสืบแทนพยานเอกสาร (หนังสือรับชําระหนี้) ดังกล่าวได้ เพราะไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 94
สรุป
หากจําเลยต้องการนําหนังสือรับชําระเงินที่อยู่กับมารดาโจทก์เข้าสืบให้ศาลรับฟัง เป็นพยานหลักฐานในสํานวน จําเลยจะต้อปฏิบัติตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 9 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 123
และหากมารดาโจทกไม่ส่งเอกสารมาให้ จําเลยย่อมสามารถนําตัวนายสุธรรมพยานบุคคลมา สืบแทนพยานเอกสาร (หนังสือรับชําระหนี้) ดังกล่าวได้ เพราะไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 94