การสอบไล่ฤดูร้อน ปีการศึกษา 2547
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 นาย ก ตั้งนาย ข เป็นตัวแทนโดยมีหลักฐานการตั้งตัวแทนเป็นหนังสือให้ไปซื้อที่ดิน ปรากฏว่านาย ข ไปซื้อที่ดินของนาย ค นาย ค โอนที่ดินให้แก่นาย ข แต่นาย ข ให้เงินแก่นาย ค ไม่ครบ นาย ค จึงฟ้องนาย ก โดยอ้างว่าในฐานะที่นาย ข เป็นตัวแทนนาย ก นาย ก จะต้องรับผิดในจำนวนเงินที่ค้างชำระนั้น ให้ท่านวินิจฉัยว่านาย ค จะฟ้องนาย ก ได้หรือไม่อย่างไร พร้อมทั้งยกตัวบทกฎหมายมาประกอบด้วย
อีกกรณีหนึ่ง นาย ก มอบนาย ข ให้ไปซื้อที่ดินแต่ไม่ได้ทำเป็นหนังสือมอบหมายเพียงแต่ให้เงินไปวางประจำไว้ ต่อมาผู้ขายโอนที่ดินให้แก่นาย ข นาย ข กลับไม่ให้เงินในส่วนที่เหลือที่นาย ก มอบให้นาย ข เพื่อให้นาย ข มอบให้ผู้ขายทั้งหมด แต่นาย ข กลับนำไปใช้ส่วนตัวเสีย ให้ท่านวินิจฉัยว่า ในกรณีเช่นนี้ นาย ค จะฟ้องนาย ก ให้รับผิดในจำนวนเงินส่วนที่ขาดได้หรือไม่ อย่างไร พร้อมทั้งยกตัวบทกฎหมายประกอบด้วย
ธงคำตอบ
มาตรา 798 กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย
กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย
วินิจฉัย
กฎหมายวางหลักไว้ว่า กิจการใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือการตั้งตัวแทนเพื่อกิจการนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือ
กรณีแรก การที่นาย ก ตั้งนาย ข เป็นหนังสือ เพื่อไปซื้อที่ดินก็เข้าหลักเกณฑ์กฎหมายมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับได้ ดังนั้นการที่นาย ข ตัวแทนผิดสัญญาต่อนาย ค นาย ค จึงมีอำนาจฟ้องนาย ก ตัวการให้รับผิดได้ตามมาตรา 798 เพราะสัญญาผูกพันตัวการแล้ว
กรณีหลัง แม้การที่นาย ก มอบนาย ข ให้ไปซื้อที่ดินจะไม่ได้ทำเป็นหนังสือ แต่นาย ก ได้ใช้วิธีให้เงินนาย ข เพื่อนำไปวางประจำไว้กับผู้ขาย ก็ถือว่าเป็นสัญญาอย่างหนึ่งซึ่งไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 798 ที่ว่าการตัวตัวแทนจะต้องทำเป็นหนังสือ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นข้อยกเว้นของมาตรา 798 จึงไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือในการตั้งตัวแทน ดังนั้น การที่นาย ข ตัวแทนผิดสัญญาต่อนาย ค นาย ค จึงสามารถฟ้องนาย ก ให้รับผิดในส่วนที่ขาดได้ เพราะไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 798
สรุป นาย ค สามารถฟ้องนาย ก ให้รับผิดได้ทั้งสองกรณี
ข้อ 2 นาย ก มอบให้นาย ข เป็นตัวแทนให้ไปซื้อบ้านไม้สัก 1 หลัง ที่จังหวัดเชียงรายเป็นจำนวนเงิน 2,000,000 บาท แต่นาย ก ได้ให้เงินแก่นาย ข ไปเพียง 1,500,000 บาทเท่านั้น นาย ก จึงให้นาย ข ทดรองจ่ายไป 500,000 บาท เมื่อนาย ข ซื้อบ้านและรื้อถอนเป็นไม้มากองไว้ที่บ้านของตนและบอกให้นาย ก มาขนไม้ไปแล้วให้นำเงินมาคืนให้ 500,000 บาทด้วย นาย ก ต้องการแต่ไม้และยังไม่ยอมจ่ายเงิน 500,000 บาท ให้แก่นาย ข นาย ข จึงไม่ยอมให้ไม้ไปโดยบอกว่าเมื่อใดนำเงินมาชำระหนี้จึงค่อยนำไม้ไปได้ ดังนี้ให้ท่านตอบคำถามดังต่อไปนี้พร้อมทั้งยกตัวบทกฎหมายประกอบด้วย
(1) อยากทราบว่า หากท่านเป็นนาย ข ท่านจะมีทางเลือกอย่างไรในการที่จะได้รับชำระหนี้จากนาย ก
(2) หากท่านเลือกการยึดหน่วง หลักเกณฑ์ในการยึดหน่วงเป็นอย่างไร ถ้ายึดหน่วงไว้จนหนี้ขาดอายุความฟ้องร้องแล้วจะฟ้องได้อีกหรือไม่
(3) หากยึดหน่วงไว้จนหนี้ขาดอายุความ ผู้ยึดหน่วงจะนำทรัพย์สินที่ยึดหน่วงไว้นั้นออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ได้หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 193/27 ผู้รับจำนอง ผู้รับจำนำ ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วง หรือผู้ทรงบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้อันตนได้ยึดถือไว้ ยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนอง จำนำ หรือที่ได้ยึดไว้ แม้ว่าสิทธิเรียกร้องส่วนที่เป็นประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม แต่จะใช้สิทธินั้นบังคับให้ชำระดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลังเกินห้าปีขึ้นไปไม่ได้
มาตรา 248 ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 193/27 การใช้สิทธิยึดหน่วงหาทำให้อายุความแห่งหนี้สะดุดหยุดลงไม่
มาตรา 819 ตัวแทนชอบที่จะยึดหน่วงทรัพย์สินใดๆ ของตัวการอันตกอยู่ในความครอบครองของตน เพราะเป็นตัวแทนนั้นเอาไว้จนกว่าจะได้รับเงินบรรดาค้างชำระแก่ตนเพราะการเป็นตัวแทน
วินิจฉัย
นาย ก มอบให้นาย ข เป็นตัวแทนไปซื้อบ้านไม้สัก 1 หลัง เป็นจำนวนเงิน 2,000,000 บาท แต่นาย ก ได้ให้เงินนาย ข ไปเพียง 1,500,000 บาทเท่านั้น นาย ข ได้ทดรองจ่ายเงินส่วนที่ขาดไป 500,000 บาท และได้เอาไม้มากองไว้ที่หน้าบ้านของตน และเรียกให้นาย ก ชำระหนี้ 500,000 บาท แต่นาย ก ไม่ยอมชำระหนี้ ดังนี้
(1) ทางเลือกของนาย ข ตัวแทนมีอยู่ 2 ทาง คือ
ก. โดยตัวแทนเลือกเอาการฟ้องเรียกให้ตัวการชำระหนี้
ข. โดยการยึดหน่วงทรัพย์นั้นไว้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้ตามมาตรา 819
(2) หากนาย ข เลือกการยึดหน่วง ย่อมมีผลดังนี้
ก. การยึดหน่วงไม่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 248
ข. แต่หากตัวแทนยึดหน่วงไปไปจนหนี้ขาดอายุความแล้ว ตัวแทนยังฟ้องได้อยู่ตามมาตรา 193/27 คือ ฟ้องบังคับเอาจากทรัพย์ที่ยึดหน่วงได้
(3) ผู้ยึดหน่วงไม่มีสิทธินำทรัพย์ที่ยึดหน่วงไว้ออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ได้
ข้อ 3 ให้ท่านเปรียบเทียบการที่จะได้ค่านายหน้า ระหว่างการเป็นนายหน้าธรรมดากับนายหน้าที่มีเงื่อนไขว่า วิธีการจะได้ค่านายหน้ากำหนดไว้เป็นอย่างไร พร้อมทั้งยกตัวบทกฎหมายประกอบด้วย
ธงคำตอบ
มาตรา 845 วรรคแรก บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว
วินิจฉัย
การเป็นนายหน้าธรรมดา มีหลักเกณฑ์ ดังนี้
1 ตกลง
2 ชี้ช่อง
3 จัดการให้ผู้ซื้อและผู้ขายเข้าทำสัญญากัน
โดยเมื่อครบองค์ประกอบ 3 ประการข้างต้นนี้แล้ว ผู้เป็นนายหน้าก็มีสิทธิที่จะได้ค่านายหน้าแล้วตามมาตรา 845 วรรคแรกตอนต้น แม้ต่อมาการซื้อขายจะไม่มีการซื้อขายอันเนื่องจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาก็ตาม
แต่หากสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขบังคับก่อนแล้วไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้าทันทีหาได้ไม่ จะได้บำเหน็จค่านายหน้าก็ต่อเมื่อเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว ตามมาตรา 845 วรรคแรก ตอนท้าย
ดังนั้นข้อแตกต่างจึงมีว่าหากเป็นนายหน้าที่ไม่มีเงื่อนไข ก็มีสิทธิได้บำเหน็จค่านายหน้าทันทีที่ผู้ซื้อขายเข้าทำสัญญากันตามมาตรา 845 วรรคแรกตอนต้น ส่วนนายหน้าที่มีเงื่อนไขยังไม่ได้บำเหน็จค่านายหน้าจนกว่าเงื่อนไขจะสำเร็จก่อนจึงจะได้ค่านายหน้าตามมาตรา 845 วรรคแรกตอนท้าย