การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2555

 ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ก  มอบ  ข  ให้ซื้อที่ดินโดยมอบหมายเป็นหนังสือ  ข  ซื้อที่ดินของ  ค  โดยทำหนังสือซื้อขาย  โดยตกลงราคากันเป็นจำนวน  30  ไร่  20  ล้านบาท  จะโอนกันในวันถัดไปจากวันทำสัญญา  หลังทำสัญญา  ง  มาขอซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวกับ  ค  โดยให้ราคามากกว่า  2  เท่า  ค  ตกลงและโอนทันที  กรณีหนึ่ง

อีกกรณีหนึ่ง  จากโจทย์เดิมข้างต้น  ถ้า  ก  ตั้ง  ข  ให้ซื้อที่ดินโดยมิได้มอบหมายเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ  แต่  ก  ได้มอบเงินให้  ข  นำไปวางประจำไว้  ข  นำเงินไปวางประจำและทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือ  ง  มาขอซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวโดยให้ราคามากกว่า  2  เท่า  ค  โอนที่ดินให้  ง  ทันที 

ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ทั้ง  2  กรณี  ก  จะฟ้องเพิกถอนการโอนระหว่าง  ค  กับ  ง  ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ 

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  456  วรรคแรกและวรรคสอง  การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์  ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป  ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อ  หรือคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใด  ลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ  หรือได้วางประจำไว้  หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา  798  กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  วินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีแรก 

การที่  ก  มอบ  ข  ให้ไปซื้อที่ดินนั้น  เมื่อสัญญาซื้อขายที่ดินเป็นกิจการที่กฎหมายบังคับไว้ว่าต้องทำเป็นหนังสือ  (มาตรา  456  วรรคแรก)  ดังนั้น  การตั้งตัวแทนเพื่อไปทำสัญญาขายที่ดินจึงต้องทำเป็นหนังสือด้วย  จึงจะมีผลผูกพันตัวการตามมาตรา  798  วรรคแรก  เมื่อการตั้งตัวแทนของ  ก  ที่ให้  ข  เป็นตัวแทนไปซื้อที่ดินนั้นได้ทำเป็นหนังสือ  กิจการที่  ข  ได้กระทำไปจึงมีผลผูกพัน  ก  ตัวการ  และก่อให้ได้ความสัมพันธ์ไปถึง  ค  ด้วย  ดังนั้น  เมื่อปรากฏว่า  ค  ผิดสัญญา  โดยโอนที่ดินดังกล่าวให้กับ  ง  ก  ย่อมสามารถฟ้องเพิกถอนการโอนระหว่าง  ค  กับ  ง  ได้

กรณีที่สอง

ถ้า  ก  ตั้ง  ข  ให้ซื้อที่ดินโดยมิได้มอบหมายเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ  แต่  ก  ได้มอบเงินให้  ข  นำไปวางประจำไว้  และ  ข ก็ได้นำเงินไปวางประจำและทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือ  ดังนี้  ก  ก็ย่อมสามารถฟ้องเพิกถอนการโอนระหว่าง  ค  กับ  ง  ได้เช่นกัน  เพราะกรณีที่สองนี้  ถือเป็นเรื่องการทำสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์  ซึ่งการตั้งตัวแทนไม่อยู่ในบังคับของมาตรา  798  ที่จะต้องมีหลักฐานการตั้งตัวแทนเป็นหนังสือแต่เพียงอย่างเดียว  อาจจะใช้วิธีวางประจำ  หรือชำระหนี้บางส่วนก็ได้  (ตามมาตรา  456  วรรคสอง)  ซึ่งก็ถือว่ามีผลผูกพันตัวการดุจกัน

สรุป  ทั้ง  2  กรณี  ก  จะสามารถฟ้องเพิกถอนการโอนระหว่าง  ค  กับ  ง  ได้

 

ข้อ  2  นางสายใจได้นำทองคำแท่งหนัก  10  บาท  ไปฝากนางรัศมีซึ่งเปิดร้านขายทองที่ตลาดบางกะปิ  เป็นตัวแทนค้าต่างขายทองคำแท่งให้ตน  นางสายใจได้ตกลงกับนางรัศมีว่า  ถ้าขายทองคำแท่งได้จะให้ค่าบำเหน็จแก่นางรัศมีเป็นจำนวนเงิน  5,000  บาท  ปรากฏว่า  วันที่  5  สิงหาคม  2555  ราคาทองคำตามตลาดโลกลดลงเหลือบาทละ  22,000  บาท  นางรัศมีเห็นว่าราคาทองคำลดลงต่ำกว่าราคาก่อนหน้านี้  ถ้าซื้อเก็บไว้ทองคำอาจจะขึ้นราคาบาทละ  25,000  บาท  ถ้าขายก็จะได้กำไร  นางรัศมีต้องการซื้อทองคำแท่งดังกล่าวไว้เอง  จึงได้โทรศัพท์ติดต่อขอซื้อทองคำแท่งจากนางสายใจ  เมื่อนางสายใจได้รับคำบอกกล่าวแล้วก็ไม่ได้บอกปัดเสียในทันที  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  การขอซื้อทองคำแท่งของนางรัศมีเกิดขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด  และนางรัศมีมีสิทธิจะได้รับค่าบำเหน็จจำนวน  5,000  บาทหรือไม่  จงอธิบาย

ธงคำตอบ 

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 843  ตัวแทนค้าต่างคนใดได้รับคำสั่งให้ขายหรือซื้อทรัพย์สินอันมีรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน  ท่านว่าตัวแทนคนนั้นจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายเองก็ได้  เว้นแต่จะมีข้อห้ามไว้ชัดแจ้งโดยสัญญาในกรณีเช่นนั้น  ราคาอันจะพึงใช้เงินแก่กันก็พึงกำหนดตามรายการขานราคาทรัพย์สินนั้น  ณ  สถานแลกเปลี่ยนในเวลาเมื่อตัวแทนค้าต่างให้คำบอกกล่าวว่าตนจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย

เมื่อตัวการรับคำบอกกล่าวเช่นนั้น  ถ้าไม่บอกปัดเสียในที  ท่านให้ถือว่าตัวการเป็นอันได้สนองรับการนั้นแล้ว

อนึ่งแม้ในกรณีเช่นนั้น  ตัวแทนค้าต่างจะคิดเอาบำเหน็จก็ย่อมคิดได้

วินิจฉัย  

ตามมาตรา  843  ได้บัญญัติไว้ว่า  ถ้าตัวการมอบหมายให้ตัวแทนค้าต่างขายทรัพย์สินแทนตน  และทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินที่มีรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน  และไม่มีข้อห้ามโดยชัดแจ้งในสัญญาตัวแทนค้าต่างจะเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินนั้นไว้เสียเองก็ได้

แต่อย่างไรก็ตาม  ตัวแทนค้าต่างจะต้องบอกกล่าวให้ตัวการรู้ด้วยว่าตนเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินนั้น  ซึ่งถ้าตัวการไม่ต้องการขายให้ตัวแทนค้าต่างก็ต้องบอกปัดในทันที  ไม่เช่นนั้นจะถือว่าตัวการได้สนองรับคำบอกกล่าวนั้นแล้ว  และนอกจากนี้ตัวแทนค้าต่างก็ยังมีสิทธิได้รับบำเหน็จตามสัญญาอีกด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นางสายใจได้มอบให้นางรัศมีเป็นตัวแทนค้าต่างขายทองคำแท่งของตนและตกลงจะจ่ายค่าบำเหน็จให้จำนวน  5,000  บาท  ปรากฏว่าต่อมาราคาทองคำแท่งลดลงตามตลาดโลก  ซึ่งถือเป็นรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน  นางรัศมีต้องการซื้อทองคำแท่งดังกล่าวไว้เองเพื่อเก็งกำไรในภายหน้านั้น  ดังนี้  นางรัศมีสามารถทำได้  เพราะในสัญญาไม่มีข้อห้ามไว้ตามมาตรา  843  วรรคแรก

และเมื่อนางรัศมีบอกกล่าวทางโทรศัพท์ให้นางสายใจทราบว่าตนจะซื้อทองคำแท่งดังกล่าวแล้ว  แต่ปรากฏว่านางสายใจก็มิได้บอกปัดเสียในทันทีที่ได้รับคำบอกกล่าว  กรณีนี้จึงถือว่านางสายใจเป็นอันได้สนองรับคำบอกกล่าวนั้นแล้ว  สัญญาซื้อขายทองคำแท่งระหว่างนางรัศมีกับนางสายใจจึงเกิดขึ้นตามมาตรา  843  วรรคสอง  และนอกจากนี้นางรัศมีก็ยังสามารถคิดเอาค่าบำเหน็จจำนวน  5,000  บาท  จากนางสายใจ  เนื่องจากการซื้อขายของตนได้ด้วย  แม้นางรัศมีจะเป็นผู้ซื้อทองคำแท่งเหล่านั้นไว้เองก็ตาม  ตามมาตรา  843  วรรคท้าย

สรุป  สัญญาซื้อขายทองคำแท่งของนางรัศมีได้เกิดขึ้นแล้ว  และนางรัศมีมีสิทธิจะได้รับค่าบำเหน็จจำนวน  5,000  บาทจากนางสายใจ

 

ข้อ  3  ทิวามีอาชีพเป็นนายหน้าจัดหาซื้อขายที่ดิน  บริษัท  ก  จำกัด  มอบให้ทิวาจัดหาที่ดินเพื่อก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่โดยบริษัทยินยอมเสียค่าใช้จ่ายในการจัดหาที่ดินนั้น  ทิวานำผู้แทนบริษัทไปดูที่ดินหลายแปลง  รวมทั้งที่ดินของราตรีด้วย  ปรากฏว่าบริษัทพอใจที่ดินแปลงของราตรี  จนในที่สุดบริษัทได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินของราตรีตามที่ทิวาได้ชี้ช่องและจัดการ  เมื่อทิวาเรียกค่าบำเหน็จนายหน้าจากราตรี  ราตรีเพิกเฉยทั้งที่ราตรีก็ทราบอยู่ดีว่าทิวามีอาชีพเป็นนายหน้า  ทิวาจะบังคับค่าบำเหน็จนายหน้าจากราตรีได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ 

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845  วรรคแรก  บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

มาตรา  846  วรรคแรก  ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น  โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่าย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จไซร้  ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้า

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญานายหน้านั้น  บุคคลจะต้องรับผิดให้ค่าบำเหน็จนายหน้าแก่ผู้ใดก็ต่อเมื่อได้ตกลงกันไว้กับผู้นั้นโดยชัดแจ้งประการหนึ่ง  หรือถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้โดยชัดแจ้งก็จะต้องรับผิดต่อเมื่อกิจการอันได้มอบหมายแก่ผู้นั้นเป็นที่คาดหมายได้ว่า  ผู้นั้นย่อมทำให้ก็แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จเท่านั้น  ถ้าไม่มีการตกลงกันหรือไม่มีการมอบหมายกิจการแก่กัน  ก็ไม่จำต้องให้ค่าบำเหน็จนายหน้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ นายหน้าที่จะได้รับบำเหน็จหรือค่านายหน้านั้นในเบื้องต้นจะต้องมีสัญญานายหน้าต่อกันโดยชัดแจ้งตามมาตรา  845  หรือมีสัญญาต่อกันโดยปริยายตามมาตรา  846  ผู้ใดจะอ้างตนเป็นนายหน้าฝ่ายเดียว  เรียกร้องเอาค่าบำเหน็จโดยอีกฝ่ายหนึ่งมิได้มีสัญญาด้วยแต่อย่างหนึ่งอย่างใดเลยนั้น  หามีกฎหมายสนับสนุนให้เรียกร้องได้ไม่ 

กรณีตามอุทาหรณ์  แม้ว่าสัญญาจะซื้อขายที่ดินของนางราตรีจะเกิดจากการชี้ช่องและจัดการของทิวา  และราตรีก็ทราบดีอยู่แล้วว่าทิวามีอาชีพเป็นนายหน้าก็ตาม  แต่ราตรีก็ไม่เคยตกลงให้ทิวาเป็นนายหน้าขายที่ดินของตนตามมาตรา  845  วรรคแรก  อีกทั้งจะถือว่าเป็นการตกลงกันโดยปริยายตามมาตรา  846  วรรคแรกก็มิได้  เพราะการตกลงโดยปริยายตามมาตรานี้  หมายถึง  กรณีที่มีการมอบหมายให้เป็นนายหน้ากันแล้ว  ไม่ใช่กรณีที่ยังไม่ได้มอบหมายให้เป็นนายหน้า  ดังนั้น  ทิวาจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จนายหน้าจากราตรี

สรุป  ทิวาจะบังคับเอาค่าบำเหน็จนายหน้าจากราตรีไม่ได้

Advertisement