การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า ประนีประนอมยอมความการพนันขันต่อ
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ
ข้อ 1 สามชุกยืมรถยนต์ของกระเสียวไปใช้มีกำหนดหนึ่งปี ขณะที่สามชุกใช้สอยอยู่นั้นมีกระเจียวขอเอารถคันดังกล่าวไปใช้ แต่กระเจียวเอารถยนต์ไปใช้ได้ไม่นาน สามชุกกลัวว่ากระเสียวรู้แล้วจะเลิกสัญญาเอารถยนต์คืน สามชุกจึงให้กระเจียวนำรถยนต์มาคืนให้กับตนก่อนที่กระเสียวจะรู้ถึงการที่กระเจียวเอารถไปใช้สอย ดังนี้ถ้ากระเสียวทราบถึงเหตุดังกล่าว จะเลิกสัญญาให้สามชุกเอารถมาคืนก่อนที่จะครบหนึ่งปีได้หรือไม่ อย่างไร
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 640 อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่าและผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว
มาตรา 643 ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง
มาตรา 645 ในกรณีทั้งหลายดังกล่าวไว้ในมาตรา 643 นั้นก็ดี หรือถ้าผู้ยืมประพฤติฝ่าฝืนต่อความในมาตรา 644 ก็ดี ผู้ให้ยืมจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สามชุกยืมรถยนต์ของกระเสียวไปใช้มีกำหนดหนึ่งปีนั้น เป็นสัญญายืมใช้คงรูปตามมาตรา 640 สามชุกผู้ยืมจึงมีสิทธิครอบครองและใช้สอยรถยนต์ภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว
แต่อย่างไรก็ตาม มาตรา 645 ได้กำหนดให้ผู้ให้ยืมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกให้ผู้ยืมคืนทรัพย์สินที่ยืมได้ ถ้าผู้ยืมประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมตามมาตรา 645 เช่น การที่ผู้ยืมเอาทรัพย์สินซึ่งยืมนั้นไปใช้เพื่อการอื่นนอกจากการอันปรากฏในสัญญา หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย เป็นต้น
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า สามชุกได้นำรถยนต์คันดังกล่าวไปให้กระเจียวใช้งาน กรณีนี้จึงถือว่าสามชุกได้ประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมตามมาตรา 643 แล้ว คือ เป็นการนำทรัพย์สินที่ยืมไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย แม้ว่าสามชุกจะให้กระเจียวนำรถมาคืนให้กับตนก่อนที่กระเสียวจะรู้ถึงการที่กระเจียวเอารถไปใช้สอยก็ตาม ดังนั้นเมื่อกระเสียวผู้ให้ยืมได้ทราบถึงเหตุดังกล่าว ย่อมมีสิทธิตามมาตรา 645 คือ บอกเลิกสัญญาและเรียกให้สามชุกเอารถยนต์มาคืนก่อนที่จะครบหนึ่งปีได้
สรุป กระเสียวสามารถบอกเลิกสัญญา และเรียกให้สามชุกเอารถมาคืนก่อนที่จะครบกำหนดหนึ่งปีได้
ข้อ 2 นายเล็กเดียวดาย นะยุดยา ได้ขอยืมเงินจากนางเกดเป็นเงิน 50,000 บาท โดยปากเปล่า และนางเกดได้ตีเช็คให้ยืมไป ต่อมานายเล็กเดียวดาย ได้มีจดหมายมาหานางเกดความว่าเงินที่ได้รับมา 50,000 นี้ขอบคุณมาก ถือเป็นหนี้ล้นพ้นประมาณ จะนำมาชำระให้ในภายหลังโดยเร็ว และจะให้ดอกเบี้ยตอบแทนอย่างสูงร้อยละ 16 ท้ายของหนังสือได้ลงลายมือชื่อเล่นของตนที่พ่อแม่เรียกว่าชายเล็ก พร้อมทั้งให้เด็กฝาแฝดอายุ 7 ขวบ ลงลายมือชื่อเป็นพยาน ทั้งๆที่เด็กทั้งสองอ่านหนังสือไม่ออก และไม่รู้ว่าการยืมเงินคืออะไร แต่เขียนชื่อของตนได้เท่านั้น ดังนี้หลักฐานดังกล่าวจะใช้ได้หรือไม่ เพียงใด และหากต่อมานางเกดเจ้าหนี้ได้เติมตัวเลข 1 หน้าจำนวนตัวเลข 50,000 เพื่อให้เป็นจำนวน 150,000 บาท ดังนี้จำเป็นหรือไม่ที่ลูกหนี้จะต้องชำระเงินคืน และหากลูกหนี้ต้องการชำระหนี้ด้วยเงินสดคืนให้จะต้องชำระเท่าไร อย่างไร
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 653 วรรคแรก การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
มาตรา 654 ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญากำหนดดอกเบี้ยเกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี
วินิจฉัย
ตามมาตรา 653 วรรคแรก ในกรณีที่จะฟ้องร้องบังคับคดีในเรื่องเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินกันเกินกว่า 2,000 บาทขึ้นไปนั้น จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งและลงลายมือชื่อผู้ยืม ซึ่งลายมือชื่อผู้ยืมนี้จะเป็นชื่อตัว ชื่อสกุล หรือชื่อเล่นก็ได้ และหลักฐานการกู้ยืมเงินนี้จะอยู่ในรูปแบบใดก็ได้ แต่จะต้องมีสาระสำคัญแสดงให้เห็นว่ามีการกู้ยืมเงินกัน เช่น มีการระบุจำนวนเงินที่กู้ยืม มีข้อความว่าได้รับเงินไปตามจำนวนที่ระบุไว้ เป็นต้น
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเล็กเดียวดาย นะยุดยา ได้ขอยืมเงินจากนางเกดเป็นเงิน 50,000 บาท และต่อมาได้มีจดหมายมาหานางเกดความว่าเงินที่ได้รับมา 50,000 นี้ขอบคุณมาก ถือเป็นหนี้ล้นพ้นประมาณ จะนำมาชำระให้ในภายหลังนั้น ดังนี้ จดหมายฉบับดังกล่าวถือเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินแล้ว เพราะมีสาระสำคัญแสดงให้เห็นว่ามีการกู้ยืมเงินกัน และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าตอนท้ายของหนังสือได้ลงลายมือชื่อเล่นของนายเล็กเดียวดาย ย่อมถือว่าการกู้ยืมเงินกันระหว่างนายเล็กเดียวดายและนางเกด มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมแล้ว จึงสามารถใช้ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ ตามมาตรา 653 วรรคแรก แม้ว่าการลงลายมือชื่อของพยานทั้งสองคนจะไม่ถูกต้องตามกฎหมายก็ตาม เพราะกฎหมายบังคับเพียงแต่ให้มีลายมือชื่อผู้ยืมเท่านั้น
ส่วนกรณีดอกเบี้ยนั้น การที่นายเล็กเดียวดายตกลงจะให้ดอกเบี้ยตอบแทนอย่างสูงร้อยละ 16 ต่อปี ย่อมถือเป็นการขัดต่อกฎหมายมาตรา 654 ที่กำหนดให้เรียกดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี และยังขัดต่อ พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ดอกเบี้ยดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะทั้งหมด
และกรณีที่นางเกดเจ้าหนี้ได้เติมตัวเลข 1 หน้าจำนวนตัวเลข 50,000 เพื่อให้เป็นจำนวน 150,000 บาทนั้น การเติมตัวเลขดังกล่าวถือเป็นการปลอมเอกสาร ข้อความที่ปลอมขึ้นจึงใช้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ทำให้ข้อความเดิมก่อนที่จะมีการปลอมเสียไปแต่อย่างใด
ดังนั้น นางเกดจึงสามารถฟ้องร้องให้นายเล็กเดียวดาย นะยุดยา ลูกหนี้ชำระหนี้เงินกู้ยืมดังกล่าวได้โดยสามารถฟ้องเอาได้เฉพาะเงินต้นจำนวน 50,000 บาทเท่านั้น จึงจำเป็นที่ลูกหนี้จะต้องชำระเงินคืน และหากลูกหนี้ต้องการชำระหนี้ด้วยเงินสดคืนจะต้องชำระเป็นจำนวน 50,000 บาท
สรุป หลักฐานดังกล่าวใช้เป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินได้ และลูกหนี้จำเป็นจะต้องชำระเงินคืน และหากลูกหนี้ต้องการชำระหนี้ด้วยเงินสดคืนจะต้องชำระเป็นจำนวน 50,000 บาท
ข้อ 3 นายแดงเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น โดยมีนายเล้งเป็นเจ้าสำนักและผู้ประกอบกิจการโรงแรม ก่อนเข้าพักนายแดงได้นำพระเครื่อง 1 องค์ มูลค่า 8,000 บาท ไปขอฝากไว้ให้โรงแรมเก็บรักษา เกรงว่าจะสูญหายระหว่างที่ตนเข้าพักอยู่ในโรงแรม นายเล้งผู้เป็นเจ้าสำนักรับไปดูแล้วคืนพระเครื่องกลับไปให้นายแดง โดยบอกว่า “ขอให้นายแดงเป็นผู้เก็บพระเครื่องราคา 8,000 บาทไว้แทนโรงแรม ทางโรงแรมเป็นผู้เก็บหรือนายแดงเก็บก็เหมือนคนคนเดียวกัน” ต่อมาในตอนดึกมีคนร้ายเข้าไปขโมยของในห้องพักของโรงแรม และได้ขโมยพระเครื่องไป นายแดงรีบแจ้งให้นายเล้งทราบทันที ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยความรับผิดของโรงแรมที่มีต่อทรัพย์ของนายแดง
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 674 เจ้าสำนักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทำนองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใดๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัย หากได้พามา
มาตรา 675 เจ้าสำนักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างใดๆ แม้ถึงว่าความสูญหาย หรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด
ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตั๋วเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่นๆไซร้ ท่านจำกัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสำนักและได้บอกราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง
แต่เจ้าสำนักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพแห่งทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ
วินิจฉัย
โดยหลัก เจ้าสำนักโรงแรมหรือสถานที่อื่นเช่นว่านั้น ต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นำมาด้วย แม้ความเสียหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะคนที่ไปมาเข้าออก ณ โรงแรมหรือสถานที่เช่นนั้นตามมาตรา 674 ประกอบมาตรา 675 วรรคแรก
และในกรณีที่ทรัพย์สินที่สูญหายหรือบุบสลายนั้น เป็นของมีค่า เช่น นาฬิกา แหวนเพชร หรือพระเครื่องฯ กฎหมายกำหนดให้เจ้าสำนักรับผิดเพียงห้าพันบาท เว้นแต่คนเดินทางหรือแขกอาศัยจะนำไปฝากไว้แก่เจ้าสำนักและบอกราคาแห่งของนั้นโดยชัดแจ้ง ตามมาตรา 675 วรรคสอง
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงเข้าพักในโรงแรมโดยนำพระเครื่องซึ่งถือเป็นของมีค่าติดตัวเข้ามาด้วยนั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายแดงได้นำพระเครื่องไปขอฝากไว้ให้ทางโรงแรมเก็บรักษาและนายเล้งผู้เป็นเจ้าสำนักโรงแรมได้รับไปดูแล้วคืนพระเครื่องให้นายแดง โดยบอกว่า ให้นายแดงเป็นผู้เก็บรักษาพระเครื่องราคา 8,000 บาทไว้แทนโรงแรม กรณีนี้ย่อมถือได้ว่า นายแดงได้นำพระเครื่องไปฝากไว้แก่เจ้าสำนักโรงแรมและบอกราคาชัดแจ้งแล้ว แม้ว่านายแดงจะเป็นผู้เก็บรักษาพระเครื่องไว้เองก็ตาม
ดังนั้น เมื่อมีคนร้ายเข้าไปขโมยพระเครื่องของนายแดงไป และนายแดงได้รีบแจ้งให้นายเล้งเจ้าสำนักโรงแรมทราบทันที
ทางโรงแรมจึงต้องรับผิดต่อทรัพย์ของนายแดงตามราคาพระเครื่องที่ถูกขโมยไปคือ 8,000 บาท ตามมาตรา 674 มาตรา 675 วรรคแรกและวรรคสอง
สรุป ทางโรงแรมต้องรับผิดต่อทรัพย์ของนายแดงตามราคาพระเครื่อง คือ 8,000 บาท